(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Joko’s big-bang reform push is what Indonesia urgently needs
By Asia Unhedged
11/02/2016
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย เพิ่งประกาศแผนการผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับ ซึ่งจะทำให้กองทุนต่างชาติสามารถเข้าสู่ภาคธุรกิจประมาณ 50 เซ็กเตอร์ในแดนอิเหนาได้เพิ่มมากขึ้น
เอเชีย อันเฮดจ์ จับสัญญาณได้ว่ามีความหวังไม่ใช่น้อยๆ ปรากฏในอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าเอาจริงกับการเปิดเสรีอย่างชนิดว่า “ถอนรากถอนโคน” ในเรื่องของกฎระเบียบว่าด้วยกองทุนต่างชาติ ในหลากหลายภาคธุรกิจรวมประมาณ 50 เซ็กเตอร์ ซึ่งรวมถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าปลีก การดูแลสุขภาพ และเซ็กเตอร์ภาพยนตร์
แผนดังกล่าวซึ่งเปิดตัวโดยประธานาธิบดีโจโก วีโดโด เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว (11 ก.พ.) มีเป้าหมายจะยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกครอบงำโดยพวกกลุ่มผลประโยชน์ที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง
เป็นที่คาดกันว่ามาตรการเหล่านี้จะแก้ปัญหาอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซาในตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับจะทำให้เศรษฐกิจกระเด้งขึ้นมาได้ในอัตรา 5.3% ปีนี้
ชาวอินโดนีเซียมีเหตุผลที่ดียิ่งในอันที่จะเชียร์แนวนโยบายนี้ เพราะการเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจจะสร้างงานให้แก่ผู้คนได้มหาศาลกว่าเซ็กเตอร์ธุรกิจเดิมๆ อย่างภาคการเกษตร และการทำเหมืองแร่
ข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงสิ่งที่เรียกขานกันว่า “รายการธุรกิจต้องห้ามสำหรับการลงทุน” (negative investment list) คราวนี้ ยังจะเป็นการเตรียมประเทศให้ปรับตัวเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีในกรอบความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ Trans-Pacific Partnership (TPP)
ในการนี้ มีอุตสาหกรรมรวม 35 อุตสาหกรรมที่ถอดออกจากรายการดังกล่าวไปเลย อาทิ ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ และภัตตาคาร
ส่วนสำหรับ 16 ธุรกิจหลัก เป็นต้นว่า การเกษตร ป่าไม้ พลังงาน คมนาคมและขนส่ง ที่จะยังเป็นธุรกิจซึ่งอินโดนีเซียสงวนรักษาไว้ ก็จะมีการปรับปรุงแก้ไขผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
สำหรับผู้คนทั่วไป การขับเคลื่อนปฏิรูปเช่นนี้โดยประธานาธิบดีโจโก จะช่วยทวีคุณภาพของธุรกิจดูแลสุขภาพผ่านการที่ทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่โรงพยาบาล คลินิก และแลปทดลองต่างๆ ซึ่งจะพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือ และสถานที่ให้ทันสมัย พร้อมกับจะดึงดูดให้บุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพที่มีความสามารถระดับแถวหน้า เข้าร่วมในธุรกิจบริการอันสำคัญเหล่านี้
ปัจจุบันนี้ กฎหมายยังไม่อนุญาตให้บุคลากรต่างชาติในวงการแพทย์มืออาชีพที่มีความสามารถระดับแถวหน้า สามารถทำการรักษาในประเทศอินโดนีเซีย
กระนั้นก็ตาม มีเสียงเตือนดังขึ้นว่าการปฏิรูปของประธานาธิบดีจะต้องเผชิญกับการต่อต้านคัดค้านของพรรคการเมือง หรือกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพล
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อินโดนีเซียต้องยกระดับขึ้นจากการเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไปเป็นแบบที่เอื้อเฟื้อแก่ระบบตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ นโยบายปกป้องภายในต้องถูกยกเลิก หากอินโดนีเซียมุ่งมั่นที่จะเคลื่อนหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
ประธานาธิบดีโจโก ซึ่งตั้งต้นชีวิตการงานอยู่ในอาชีพเฟอร์นิเจอร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประมุขประเทศจากการให้คำสัญญาต่อประชาชนว่า จะสนับสนุนการปฏิรูปที่ส่งเสริมธุรกิจด้วยวิธีฟาสต์แทร็ก เพื่อนำพาให้อินโดนีเซียมีพลังการแข่งขันสูงขึ้นมากๆ พร้อมกับสร้างงานให้แก่คนรุ่นใหม่
(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)
Joko’s big-bang reform push is what Indonesia urgently needs
By Asia Unhedged
11/02/2016
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย เพิ่งประกาศแผนการผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับ ซึ่งจะทำให้กองทุนต่างชาติสามารถเข้าสู่ภาคธุรกิจประมาณ 50 เซ็กเตอร์ในแดนอิเหนาได้เพิ่มมากขึ้น
เอเชีย อันเฮดจ์ จับสัญญาณได้ว่ามีความหวังไม่ใช่น้อยๆ ปรากฏในอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินหน้าเอาจริงกับการเปิดเสรีอย่างชนิดว่า “ถอนรากถอนโคน” ในเรื่องของกฎระเบียบว่าด้วยกองทุนต่างชาติ ในหลากหลายภาคธุรกิจรวมประมาณ 50 เซ็กเตอร์ ซึ่งรวมถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การค้าปลีก การดูแลสุขภาพ และเซ็กเตอร์ภาพยนตร์
แผนดังกล่าวซึ่งเปิดตัวโดยประธานาธิบดีโจโก วีโดโด เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว (11 ก.พ.) มีเป้าหมายจะยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกครอบงำโดยพวกกลุ่มผลประโยชน์ที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง
เป็นที่คาดกันว่ามาตรการเหล่านี้จะแก้ปัญหาอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซาในตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับจะทำให้เศรษฐกิจกระเด้งขึ้นมาได้ในอัตรา 5.3% ปีนี้
ชาวอินโดนีเซียมีเหตุผลที่ดียิ่งในอันที่จะเชียร์แนวนโยบายนี้ เพราะการเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจจะสร้างงานให้แก่ผู้คนได้มหาศาลกว่าเซ็กเตอร์ธุรกิจเดิมๆ อย่างภาคการเกษตร และการทำเหมืองแร่
ข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงสิ่งที่เรียกขานกันว่า “รายการธุรกิจต้องห้ามสำหรับการลงทุน” (negative investment list) คราวนี้ ยังจะเป็นการเตรียมประเทศให้ปรับตัวเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีในกรอบความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ Trans-Pacific Partnership (TPP)
ในการนี้ มีอุตสาหกรรมรวม 35 อุตสาหกรรมที่ถอดออกจากรายการดังกล่าวไปเลย อาทิ ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ และภัตตาคาร
ส่วนสำหรับ 16 ธุรกิจหลัก เป็นต้นว่า การเกษตร ป่าไม้ พลังงาน คมนาคมและขนส่ง ที่จะยังเป็นธุรกิจซึ่งอินโดนีเซียสงวนรักษาไว้ ก็จะมีการปรับปรุงแก้ไขผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
สำหรับผู้คนทั่วไป การขับเคลื่อนปฏิรูปเช่นนี้โดยประธานาธิบดีโจโก จะช่วยทวีคุณภาพของธุรกิจดูแลสุขภาพผ่านการที่ทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่โรงพยาบาล คลินิก และแลปทดลองต่างๆ ซึ่งจะพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือ และสถานที่ให้ทันสมัย พร้อมกับจะดึงดูดให้บุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพที่มีความสามารถระดับแถวหน้า เข้าร่วมในธุรกิจบริการอันสำคัญเหล่านี้
ปัจจุบันนี้ กฎหมายยังไม่อนุญาตให้บุคลากรต่างชาติในวงการแพทย์มืออาชีพที่มีความสามารถระดับแถวหน้า สามารถทำการรักษาในประเทศอินโดนีเซีย
กระนั้นก็ตาม มีเสียงเตือนดังขึ้นว่าการปฏิรูปของประธานาธิบดีจะต้องเผชิญกับการต่อต้านคัดค้านของพรรคการเมือง หรือกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพล
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อินโดนีเซียต้องยกระดับขึ้นจากการเป็นระบบเศรษฐกิจแบบปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไปเป็นแบบที่เอื้อเฟื้อแก่ระบบตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ นโยบายปกป้องภายในต้องถูกยกเลิก หากอินโดนีเซียมุ่งมั่นที่จะเคลื่อนหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
ประธานาธิบดีโจโก ซึ่งตั้งต้นชีวิตการงานอยู่ในอาชีพเฟอร์นิเจอร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประมุขประเทศจากการให้คำสัญญาต่อประชาชนว่า จะสนับสนุนการปฏิรูปที่ส่งเสริมธุรกิจด้วยวิธีฟาสต์แทร็ก เพื่อนำพาให้อินโดนีเซียมีพลังการแข่งขันสูงขึ้นมากๆ พร้อมกับสร้างงานให้แก่คนรุ่นใหม่
(จากคอลัมน์ Asia Unhedged ในเอเชียไทมส์)