เอพี / เอเจนซีส์ / MGR online - รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเผยในวันอาทิตย์ (14 ก.พ.) ระบุทางการสวิตเซอร์แลนด์เห็นชอบรับทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของซาอุฯ ในอิหร่าน รวมถึงการทำหน้าที่ด้านบริการทางการทูตอื่นๆ เพื่อเปิดทางให้บรรดาผู้แสวงบุญชาวอิหร่านยังคงสามารถเดินทางมาร่วมพิธีฮัจญ์ในซาอุฯ ได้ต่อไป ถึงแม้รัฐบาลริยาดและเตหะรานจะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันไปแล้ว
อาเดล อัล-ญูเบอีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ออกโรงยืนยันข่าวดังกล่าวด้วยตัวเองในวันอาทิตย์ (14) หลังให้การต้อนรับดิดิเยร์ บัวร์กฮัลเทอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เดินทางมาเยี่ยมเยือน โดยระบุ นับจากนี้เป็นต้นไปทางการสวิสจะช่วยดูแลกระบวนการต่างๆ ที่มีความจำเป็นสำหรับบรรดาชาวมุสลิมจากอิหร่านในการเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่ซาอุดีอาระเบีย
ซาอุดีอาระเบียได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านบุกเข้าโจมตีสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน โดยนอกเหนือจากการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลริยาดกับเตหะรานแล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตทั้งหมดของอิหร่านต้องเดินทางออกจากแผ่นดินซาอุฯ ภายใน 48 ชั่วโมง
การประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียในการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในคราวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองที่ตึงเครียดมายาวนานหลายทศวรรษ โดยที่รัฐบาลซาอุฯ ซึ่งถือเป็นผู้นำโลกมุสลิมฝ่ายสุหนี่มักกล่าวหาอิหร่านที่เป็นผู้นำชาติมุสลิมฝ่ายชีอะห์ว่า กระทำการแทรกแซงกิจการของโลกอาหรับ
ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ม.ค. กลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านซึ่งอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น ได้พากันบุกเข้าไปยังที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน ก่อนจุดไฟเผาส่วนหนึ่งของอาคารสถานทูต หลังจากที่รัฐบาลริยาดทำการประหารชีวิตอิหม่ามนิกายชีอะห์ชื่อดัง “ชีค นิมรา อัล-นิมรา” ที่มีชื่อเสียงในฐานะนักวิพากษ์วิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองที่กดขี่ของทางการซาอุดีอาระเบียต่อชนกลุ่มน้อยที่เป็นมุสลิมชาวชีอะห์ในประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า ภายหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธแค้นพากันขว้างระเบิดเพลิงเข้าไปภายในสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน ก่อนจะสามารถบุกเข้าไปภายในได้ และจากนั้นการทุบทำลายเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน ตลอดจนหน้าต่างของอาคารสถานทูตซาอุฯ ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างบ้าคลั่ง โดยผู้ประท้วงหลายรายได้ช่วยกันจุดไฟเผาห้องห้องหนึ่งภายในอาคาร ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของอิหร่านจะเดินทางมาถึง และทำการผลักดันผู้ประท้วงออกไปนอกพื้นที่และเริ่มทำการดับเพลิงที่ลุกไหม้
เหตุบุกสถานทูตซาอุฯ ใจกลางเมืองหลวงของอิหร่านในครั้งนี้ถือเป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง หลังจากที่ทางการซาอุฯ ทำการประหารชีวิตหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งผู้ที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนี้ประกอบด้วย ชีค นิมรา อัล-นิมรา พร้อมกับชายอีก 47 คนในข้อหาเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย นำมาซึ่งเสียงประณามจากรัฐบาลอิหร่าน และบรรดาพันธมิตรชีอะห์ของอิหร่านทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม 2015 ศาลสูงสุดของซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธการยื่นอุทธรณ์โทษประหารชีวิตแก่นิมรา ที่เป็นหนึ่งในผู้นำการเรียกร้องให้มีการชุมนุมสนับสนุนประชาธิปไตยในซาอุดีอาระเบีย ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมตัวได้ในปี 2012 นำไปสู่การประท้วงหลายครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย
ชีค นิมรา อัล-นิมรา ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีทักษะในการพูดโน้มน้าวจิตใจผู้คน ในจังหวัดกอตีฟ ทางตะวันออกของซาอุฯ และเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้าต่อการปกครองของราชวงศ์ อัล-ซาอุดที่เป็นพวกมุสลิมสุหนี่
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยซาอุฯ ได้กล่าวหาเขาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี ร่วมกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอื่นๆ ที่ระบุว่าทำงานในนามของกลุ่มมุสลิมชีอะห์สุดโต่งจากอิหร่าน ซึ่งถือเป็นอริหมายเลขหนึ่งของซาอุดีอาระเบียในภูมิภาคตะวันออกกลาง