ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในข่าวเด่นประเด็นร้อนจากต่างแดน ที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักและกลายเป็นประเด็นสั่นคลอนแวดวงสาธารณสุขทั่วโลกมากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น ข่าวการลุกลามถึงขั้น “แพร่ระบาด” ของเชื้อไวรัสมรณะซิกา (Zika virus) ในภูมิภาคลาตินอเมริกา ที่ล่าสุดพบการลุกลามเข้าสู่ยุโรปแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมา เชื้อไวรัสซึ่งมีพาหะเป็นยุงสายพันธุ์ “Aedes aegypti” ชนิดนี้ ถูกพบว่ามีการติดต่อสู่มนุษย์ในวงแคบๆ นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมาตามประเทศเขตร้อน ทั้งในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย ก่อนที่จะมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ที่ดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างเฟรนช์ โปลิเนเซีย (French Polynesia) เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2014
อย่างไรก็ดี การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสซิการะลอกล่าสุดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคลาตินอเมริกาได้สร้างความตื่นตะลึงแก่แวดวงสาธารณสุขทั่วโลกมากที่สุด จากการลุกลามที่ทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ออกมายอมรับในเดือนนี้ (มกราคม 2016) ว่า การลุกลามของไวรัสซิกานี้ ถึงขั้น “แพร่ระบาด” แล้ว
ข้อมูลล่าสุดนับถึงวันที่ 28 ม.ค. ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาแล้วอย่างน้อย 3,174 ราย ใน 21 ประเทศทั่วภูมิภาคลาตินอเมริกา และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กทารกได้เพิ่มเป็นอย่างน้อย 38 ราย
เป็นที่น่าสังเกตว่า การแพร่ระบาดของไวรัสซิกาที่เกิดขึ้นในลาตินอเมริกาในเวลานี้เพิ่งเข้าสู่ “ช่วงพีค” ในเดือนมกราคมนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทางองค์การอนามัยโลกออกมายอมรับว่า ตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ในลาตินอเมริกาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนของปีที่แล้วทางภาคตะวันออกของบราซิล
จนถึงขณะนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาและบรรดากูรูด้านโรคเขตร้อนของ WHO กำลังเร่งทำงานแข่งกับเวลาในการหาทางรับมือและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา ตลอดจน การประสานงานกับรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในลาตินอเมริกาที่กำลังเผชิญภัยคุกคามจากไวรัสนี้ที่ทาง WHO ยอมรับแล้วว่า อาจ “ควบคุมการระบาดไม่อยู่” และเชื้อไวรัสมรณะนี้อาจแพร่กระจายครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ ของทวีปอเมริกาทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ได้ภายในสิ้นปี 2016 นี้
ในบราซิลซึ่งถือเป็นประเทศต้นตอของการแพร่ระบาดของไวรัสซิการะลอกนี้ รัฐบาลแดนแซมบ้าเตรียมกระจายกำลังทหารมากกว่า 200,000 นายไปเคาะประตูบ้านเรือนประชาชนเพื่อแจกใบปลิวให้ความรู้แบบหลังต่อหลัง ในความพยายามต่อสู้กับไวรัสซิกา (ZIKA) ที่มียุงเป็นพาหะ ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้ทารกมีภาวะพิการตั้งแต่แรกคลอด ขณะที่การแพร่ระบาดของมันกำลังก่อความกังวลด้านสาธารณสุขครั้งใหญ่ ในภูมิภาคลาตินอเมริกา
โอโกลโบ สื่อดังของบราซิลรายงานโดยอ้างการให้สัมภาษณ์ของมาร์เซโล คาสโตร รัฐมนตรีสาธารณสุขบราซิลที่ระบุว่า ทหารจะกระจายกำลังไปยังบ้านเรือนแต่ละหลังทั่วประเทศ เพื่อแจกใบปลิวแนะนำถึงวิธีการหลบหลีกป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสซิกา ส่งสัญญาณถึงการยกระดับความพยายามครั้งใหญ่ในการต่อสู้กับไวรัสชนิดนี้ ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ติดต่อจากคนสู่คนและส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อ ซึ่งมีอาการคล้ายไข้หวัด จะสามารถหายป่วยได้ภายในระยะเวลาราว 1 สัปดาห์
นอกจากนี้แล้ว คาสโตรยังบอกว่ารัฐบาลบราซิลที่กำลังถูกกดดันอย่างหนัก ให้เร่งจัดการกับวิกฤตด้านสาธารณสุขครั้งนี้ จะแจกสารทาป้องกันยุงแก่หญิงตั้งครรภ์จำนวนอย่างน้อย 400,000 ราย ที่มีชื่ออยู่ในระบบสวัสดิการสังคมด้วย เพื่อป้องกันมิให้ไวรัสนี้ก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิดอย่างร้ายแรง แก่ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์
องค์การอนามัยโลกพบว่าเชื้อไวรัสซิกานั้นนอกจากสามารถถ่ายทอดผ่านทางเลือด แล้วยังสามารถตรวจพบได้จากอสุจิของเพศชายอีกด้วย ขณะที่ในกรณีแม่และเด็กนั้นสามารถส่งผ่านไวรัสได้ทั้งในระหว่างช่วงการตั้งครรภ์และในช่วงการให้นมบุตร
ด้านหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า รัฐบาลของชาติต่างๆในแถบนี้ลาตินอเมริกาโดยเฉพาะ บราซิล และเอลซัลวาดอร์ ได้ประกาศร้องขอไม่ให้ประชาชนของตนเองตั้งครรภ์ในช่วงปีนี้ หรือ เรื่อยไปจนถึงปี 2018 เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก ท่ามกลางกระแสข่าวที่ยังไม่มีการยืนยันว่า อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะนี้ในบราซิลสูงถึงกว่า 1 ล้านรายภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกมาล่าสุดยังระบุว่า จนถึงขณะนี้วงการสาธารณสุขและวงการแพทย์ทั่วโลก ยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ ซึ่งยิ่งทำให้การติดเชื้อไวรัสซิกา กลายเป็นเรื่องที่มีอันตรายอย่างยิ่งยวด
ด้านกระทรวงสาธารณสุขของไทยชี้ว่าเชื้อไวรัสซิกามีระยะฟักตัว 4-7 วัน จากนั้นผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะรุนแรง มีผื่นแบบ Maculopapular หรือ จะมีรอยโรคที่เป็นตุ่มนูน และรอยแดงผสมกัน ที่บริเวณลำตัว แขน และขา มีอาการวิงเวียน เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ปวดตามข้อ และอาจมีต่อมน้ำเหลืองโต และอุจจาระร่วง ยิ่งไปกว่านั้น ไวรัสซิกามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายระบบประสาทของทารกในระหว่างอยู่ในครรภ์ ทำให้เด็กทารกแรกคลอดป่วยเป็นโรคศีรษะเล็ก (Microcephaly) ซึ่งเป็นความพิการแต่กำเนิดส่งผลทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าในทุกด้าน ตัวเตี้ย ใบหน้าผิดรูป มีภาวะ ปัญญาอ่อน และอาจมีอาการชัก
ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขของมลรัฐเวอร์จิเนียในสหรัฐฯ ออกคำแถลงยืนยันเมื่อ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา ยืนยัน การพบประชาชนรายหนึ่งในรัฐของตนติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ซึ่งอาจถือเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกในสหรัฐฯ โดยผู้ติดเชื้อซึ่งไม่มีการเปิดเผยตัวตนรายนี้ถูกระบุว่า เพิ่งเดินทางไปยังประเทศที่พบการระบาดของเชื้อไวรัสซิกาก่อนหน้านี้ไม่นาน
ขณะที่ทางการเดนมาร์กและสวิตเซอร์แลนด์ยืนยันเมื่อวันพุธ(27ม.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากภูมิภาคลาตินอเมริกาไม่นาน และเท่ากับเป็นการยืนยันว่า การแพร่ระบาดของไวรัสซิกานี้ได้ลุกลามเข้าสู่แผ่นดินยุโรปอย่างเป็นทางการแล้ว