เอฟพี/เอเจนซีส์ - เกิดประท้วงขึ้นอีกครั้งในเอธิโอเปียที่เมืองโวเลนโคมี (Wolenkomi) ห่างจากกรุงแอดดิสอาบาบา ไปราว 60 กม. ซึ่งผู้ประท้วงมีไม้เป็นอาวุธประจันหน้ากับตำรวจปราบจลาจลแดนกาฬทวีปที่มีปืน หลังจากก่อนหน้านี้ในวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 75 คนในเหยื่อกระสุนจริงของการสลายม็อบประท้วงรัฐบาลประธานาธิบดีมูลาทู เทโชเม (Mulatu Teshome) ซึ่ง 1 ใน 2 ร่างของผู้เสียชีวิตที่ถูกนำไปแห่ประจานเมื่อวานนี้ (22 ธ.ค.) คือ คุมซา ทาซา (Kumsa Tafa) นักศึกษาเอธิโอเปีย วัย 20 ปี เบื้องต้นยังไม่มีรายงานตัวเลขสูญเสีย แต่พบว่า รัฐบาลของเทโซเมได้ออกคำสั่งจับตัวผู้ประกาศข่าวหลังทางสถานีรายงานเหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้ (22) ว่า เกิดการประท้วงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีเอธิโอเปีย มูลาทู เทโชเม (Mulatu Teshome) ที่เมืองโวเลนโคมี (Wolenkomi) ห่างจากกรุงกรุงแอดดิสอาบาบา ไปราว 60 กม. และมีการพบใช้ต้นไม้ และหินก้อนใหญ่ ปิดขวางการจราจรบนท้องถนนทางตะวันตกจากเมืองหลวงของประเทศไปยังเขตเชวา (Shewa) ซึ่งอยูในดินแดนของเผ่าโอโรเมีย (Oromia) ซึ่งนักข่าวเอเอฟพีชี้ว่า ทั้งต้นไม่และหินเหล่านี้ถูกพบวางบนถนนยาวร่วมหลายกิโลเมตร
โดยพบว่าร่างผู้เสียชีวิต 1 ใน 2 ยังคงมีเลือดชุ่มไหลออกมาจากเสื้อผ้าของศพบริเวณถนนในเมืองโวเลนโคมี ซึ่งร่างทั้งสองถูกนำมาแห่ประจานความป่าเถื่อนของการใช้กำลังในการเข้าปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเอธิโอเปียก่อนหน้านี้ จากการเปิดเผยขององค์การฮิวแมนไรต์วอตช์ในวันที่ 19 ธันวาคม 2015 ว่ามีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 75 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โดย 1 ใน 2 ร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกกลุ่มผู้ประท้วงแห่ไปตามท้องถนนในวันอังคาร (22) เป็นของนักศึกษาเอธิโอเปียชาย วัย 20 ปีคุมซา ทาฟา (Kumsa Tafa) ซึ่งน้องสาวของผู้เสียชีวิต อาบาเบธ (Ababetch) ได้เปิดเผยต่อเอเอฟพีว่า “เขาเป็นเพียงแค่นักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครใช้ความรุนแรง ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไม่เขาต้องตาย” อาบาเบธกล่าวพร้อมกับสั่นศรีษะด้วยความไม่เข้าใจ
เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้เกิดการประท้วงเผ่าโอโรโม (Oromo) ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่จำนวนมากที่สุดในประเทศที่มีหลายเผ่าอาศัยอยู่รวมกัน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 75 คนเพราะถูกกระสุนจริงของตำรวจปราบจลาจลสังหาร อ้างอิงจากกลุ่มฮิวแมนไรท์วอช
แต่ทว่าผู้ช่วยประธานพรรค โอโรโม เฟเดรัล คองเกรส (Oromo Federal Congress)ได้อ้างตัวเลขผู้เสียชีวิตมีสูงไม่ต่ำกว่า 80 คน ในขณะที่รัฐบาลเทโชเมอ้างยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 5 รายเท่านั้น
เอเอฟพีรายงานต่อว่า ที่ผ่านมาในเดือนพฤศจิกายน การประท้วงต้านรัฐบาลเทโซเมได้กระจายไปหลายเมือง หลังจากการเคลื่อนไหวของบรรดานักศึกษาเอธิโอเปียได้ออกมาต่อต้านแนวคิดการขยายเมืองหลวงของประเทศไปสู่ดินแดนโอโรเมีย (Oromia) ซึ่งบรรดาชาวเอธิโอเปียชนเผ่าโอโรโมถือว่า “เป็นการฮุบแผ่นดิน” ของพวกเขา
เอเอฟพีรายงานว่า การขยายพื้นที่ของเมืองหลวงประเทศเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา 25 ปีของเอธิโอเปียซึ่งต้องการขยายความเจริญทางด้านสาธารณูปโภค เพื่อทำให้เอธิโอเปียสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศ โดยอาศัยบทรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า “แผ่นดินทุกตารางเมตรในประเทศนี้เป็นของรัฐบาลเอธิโอเปีย และประชาชนที่ถือสิทธิครอบครองเป็นเพียงผู้เช่า”
ในการประท้วงในเมืองโวเลนโคมี บรรดาผู้ประท้วงที่มีอาวุธเป็นไม้ ต่างร้องตะโกน หยุดการฆ่า และนี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า จากคำแถลงของกลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์ระบุว่า รัฐบาลเอธิโอเปียนำเอากฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายมาบังคับใช้กับกลุ่มผู้ประท้วง เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจสามารถใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด จัดการกับบรรดาผู้ประท้วง เป็นเหตุให้มีการใช้กระสุนจริงและวิธีการรุนแรงที่นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ประท้วง และทางกระทรวงต่างประเทศของทั้งสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรต่างออกคำแถลงแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในเอธิโอเปีย พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเอธิโอเปียมีความอดทนอดกลั้นต่อการประท้วงของประชาชน และใช้สันติวิธีในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้
นอกจากนี้ หน่วยงานปกป้องสิทธินักข่าว CPJ ได้ออกรายงานเมื่อวานนี้(22)ว่า ทางหน่วยงานได้เรียกร้องรัฐบาลเอธิโอเปียให้ปล่อยตัวผู้อ่านข่าว ฟิคาดู เมอร์คานา (Fikadu Mirkana)สังกัดสถานีโทรทัศน์และวิทยุโอโรเมีย ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของภาครัฐ ซึ่งผู้อ่านข่าวรายนี้ได้ถูกจับกุมตัวที่บ้านพักในกรุงแอดดิสอาบาบาในวันเสาร์(19)ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม จากแถลงการณ์ของกลุ่ม CPJ ชี้ว่า ทางกลุ่มไม่สามารถทราบได้ว่าเหตุใดนักข่าวชาวเอธิโอเปียผู้นี้จึงถูกจับกุม แต่ทว่าก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์ติดต่อกัน สถานีโทรทัศน์และวิทยุของโอโรเมียได้เสนอข่าวการประท้วงต่อต้านนโยบายการขยายเมืองหลวงของรัฐบาลเทโซเม
นอกจากนี้ ทางกลุ่ม CPJชี้โดยอ้างจากแหล่งข่าวนักข่าวที่ใกล้ชิดกับฟิคาดูว่า เป็นที่น่าสงสัยว่า นอกจากยังไม่มีความแน่ชัดในความผิดของนักข่าวรายนี้ และพบว่าทางครอบครัวของฟิคาดูและทนายความของเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ