เอเอฟพี - ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดซึ่งเผยแพร่วานนี้ (14 ธ.ค.) พบว่าชาวอังกฤษ “ครึ่งหนึ่ง” ต้องการถอนตัวจากสหภาพยุโรป ในขณะที่นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน เตรียมออกเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์เพื่อเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่จะทำให้ชาวอังกฤษเต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของอียูต่อไป
หนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟของอังกฤษอ้างผลสำรวจของไอซีเอ็ม ซึ่งพบว่า หากตัดประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจออกไป จะมีชาวอังกฤษถึง 50% ที่เลือกถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ “เบร็กซิต” (Brexit)
ผลสำรวจของไอซีเอ็มที่ผ่านๆ มาพบว่า สัดส่วนชาวเมืองผู้ดีที่ต้องการให้อังกฤษเป็นสมาชิกอียูมีมากกว่ากลุ่มที่จะโหวต “เบร็กซิต” มาโดยตลอด แต่โพลล่าสุดกลับชี้ถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลง และตรงกับโพลของสถาบัน โออาร์บี อินเทอร์เนชันแนล เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่พบว่า ชาวอังกฤษ 52% ต้องการออกจากอียู
การเดินทางไปบรัสเซลส์ของ คาเมรอน ในวันพฤหัสบดีนี้(17) มีเป้าหมายเพื่อต่อรองเงื่อนไขต่างๆ ที่จะช่วยกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างลอนดอนกับกลุ่มชาติยุโรป 28 ประเทศ ก่อนจะมีการจัดทำประชามติว่าด้วยการถอนตัวออกจากอียูในช่วงปลายปี 2017
ไอซีเอ็มได้สอบถามความคิดเห็นจากชาวอังกฤษ 2,053 คน ซึ่งหาก “นับ” เสียงประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจ สัดส่วนผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกอียูจะอยู่ที่ 42% และอีก 41% เลือก “เบร็กซิต”
เดลี เทเลกราฟ ไม่ได้อ้างถึงระเบียบวิธีวิจัยที่ไอซีเอ็มใช้ ขณะที่ทางสถาบันเองก็ยังไม่ได้เผยแพร่ผลสำรวจลงในสื่อออนไลน์
การเจรจาระหว่างอังกฤษกับหุ้นส่วนในสหภาพยุโรปต้องมีอันสะดุด เนื่องจาก คาเมรอน ยืนกรานให้อียูใช้มาตรการตัดสวัสดิการผู้อพยพ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะช่วยสกัดคลื่นผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามายังอียูได้ ในขณะที่ชาติสมาชิกอื่นๆ แย้งว่าวิธีเช่นนี้ละเมิดหลักเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของอียู (freedom of movement) และจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกพลเมืองออกเป็นกลุ่มที่มีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการจากรัฐ และกลุ่มที่ไม่มีสิทธิ์
ทั้งนี้ โพลของไอซีเอ็มพบว่า หากหลักเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของอียูยังไม่เปลี่ยนแปลง ชาวอังกฤษ 45% จะโหวตถอนตัวออกจากอียู ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ในอียูต่อไปจะเหลือเพียง 40%
คาเมรอน นั้นต้องการให้อังกฤษอยู่ในอียูต่อไป แต่ก็ถูกกดดันจากสมาชิกพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่ลังเลสงสัยในความเป็นสหภาพยุโรป (Eurosceptic) รวมถึงประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้รัฐสกัดกั้นผู้อพยพ และดึงอำนาจจากบรัสเซลส์กลับคืนสู่รัฐสภา