เอเอฟพี /รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / MGR online - เจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินา บุกเข้าจับกุมชาวซีเรีย 6 ราย ซึ่งรวมถึงเยาวชน 1 ราย ที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี พร้อมหนังสือเดินทางกรีซปลอม โดยผลการสอบสวนเบื้องต้นระบุ พาสปอร์ตปลอมดังกล่าวที่ตรวจยึดได้จากพลเมืองซีเรียกลุ่มนี้ น่าจะถูกปลอมแปลงขึ้นในตุรกี
รายงานข่าวซึ่งอ้างโฆษกตำรวจแดนฟ้า-ขาว ระบุว่า พลเมืองซีเรียทั้ง 6 ราย ได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเอเซซาของอาร์เจนตินา ตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดี (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมา และถูกควบคุมตัวในอีก 1 วันต่อมา ภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงบัวโนสไอเรส โดยในเบื้องต้นทั้งหมดถูกตั้งข้อหาใช้หนังสือเดินทางปลอมเพียงข้อหาเดียวก่อน
ข่าวการจับกุมพลเมืองซีเรียในเมืองหลวงของอาร์เจนตินาในครั้งนี้ มีขึ้นไม่ถึง 3 สัปดาห์ หลังจากที่ทางการฮอนดูรัสสามารถจับกุมตัวชาวซีเรีย 5 ราย ที่รับสารภาพว่า ได้จ่ายเงินจ้างสมาชิกแก๊งค้ามนุษย์คนละ 10,000 ดอลลาร์ เพื่อหาทางพาพวกเขาเดินทางจากซีเรีย มายังบราซิล อาร์เจนตินา และคอสตาริกา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศปลายทางที่แท้จริง
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคม ทางการบราซิลทำการจับกุมพลเมืองอิรักจำนวน 8 ราย ที่เดินทางเข้าสู่แดนแซมบ้าโดยใช้หนังสือเดินทางปลอมของกรีซที่ถูกทำขึ้นในตุรกีเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประเมินว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียที่ปะทุขึ้น ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 ได้คร่าชีวิตผู้คนในซีเรียไปแล้วมากกว่า 250,000 ราย และผลักดันให้ชาวซีเรียอีกมากกว่า 4 ล้านคนต้องอพยพหลบหนีออกจากบ้านเกิดของตน ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่ยุโรป
ขณะเดียวกัน การไหลบ่าของคลื่นผู้อพยพจากซีเรียนี้ ได้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของหน่วยงานด้านข่าวกรองและหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศต่างๆ ว่า บรรดากลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์และพวกนักรบสุดโต่งในซีเรียซึ่งรวมถึงกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) จะส่งสมาชิกของตนแอบแฝงเข้ามากับผู้อพยพ เพื่อเข้ามาก่อเหตุโจมตีในแผ่นดินยุโรปโดยเฉพาะหลังเหตุก่อวินาศกรรมโดยผู้ก่อการร้ายกลางกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนทั่วทั้งโลก นับเป็นเหตุนองเลือดที่สุดในฝรั่งเศสตั้งแต่มหาสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และยังเป็นเหตุก่อวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่เหตุระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริดของสเปน เมื่อปี 2004
เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงปารีส รวมถึงที่ย่านชานเมืองอย่าง “แซงต์-เดอนีส์” ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงแดนน้ำหอม ที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาใกล้เคียงกันถึง 6 จุด ถูกระบุว่า มีทั้งเหตุกราดยิง การโจมตีของมือระเบิดฆ่าตัวตาย และการจับพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 130 ราย
เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่เสียงปืนและเสียงระเบิดในกรุงปารีสเงียบสงบลง กลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (Islamic State : IS) ที่มีฐานอยู่ในซีเรียและอิรักออกมาประกาศอ้างตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายระลอกนี้ โดยคำแถลงของกลุ่มไอเอสที่มีการเผยแพร่บนโลกออนไลน์ระบุว่า นี่เป็นการแก้แค้นที่ฝรั่งเศสเปิดการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มไอเอสในซีเรีย และเป็นการตอบโต้ที่รัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโลกอิสลามและกดขี่ชาวมุสลิม
เหตุโจมตี 6 จุดกลางเมืองหลวงของฝรั่งเศสที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ลงมือก่อเหตุหลายรายแอบแฝงมากับคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลาง ได้ส่งผลกระทบให้บรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองในหลายประเทศทั่วยุโรป เริ่มหันมาทบทวนท่าทีและจุดยืนของตนต่อบรรดาผู้อพยพลี้ภัยจำนวนนับล้านที่ไหลบ่าจากซีเรีย และอีกหลายประเทศในภูมิภาคดังกล่าว เข้าสู่ยุโรป ตลอดระยะเวลาขวบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเยอรมนีที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กอย่างนางอังเกลา แมร์เคิล ประกาศนโยบาย “เปิดประตู” รับผู้อพยพอย่างออกนอกหน้าไปก่อนหน้านี้
ขณะที่รัฐบาลของอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออกที่ก่อนหน้านี้ ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการรับผู้อพยพ ตามการจัดสรรโควต้าเชิงบังคับของสหภาพยุโรป (อียู) มาโดยตลอด ต่างพากันออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นกว่าเดิม และประกาศไม่ยอมรับผู้อพยพลี้ภัยซีเรียและอิรักที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เข้าสู่ประเทศของตนอย่างเด็ดขาด