รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังขบคิดทบทวนยุทธศาสตร์ของพวกเขาในการสู้รบปรบมือกับการก่อการร้ายภายในประเทศ ภายหลังเกิดเหตุกราดยิงในวันพุธ (2 ธ.ค.) ที่เมืองซานเบอร์นาร์ดิโน, มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งสังหารผู้คนไป 14 คน และเน้นย้ำให้เห็นภัยคุกคามที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นจากการโจมตีหมายเอาชีวิตของพวกหัวรุนแรงที่เติบโตขึ้นภายในอเมริกาเอง ทั้งนี้ตามรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันเสาร์ (5)
สหรัฐฯ ควรที่จะเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของสายการบิน ด้วยการเพิ่มเจ้าหน้าที่ในการติดตามเฝ้าระวังสนามบินต่างๆ, ยกระดับมาตรฐานของโครงการยกเลิกวีซ่าเข้าสหรัฐฯ และปรับปรุงการติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาคมชาวมุสลิม เพื่อช่วยเหลือกระตุ้นเตือนให้ทราบภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสรัฐฯ เจห์ จอห์นสัน กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์
“เราได้เคลื่อนเข้าสู่ระยะใหม่เอี่ยมถอดด้าม ในเรื่องภัยคุกคามของผู้ก่อการร้ายทั่วโลก และในเรื่องความพยายามที่จะรักษาความมั่นคงของประเทศชาติของเราแล้ว” จอห์นสันกล่าวในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลฉบับนี้ โดยระบุว่าเวลานี้พวกผู้ก่อการร้ายได้หันมา “เอาต์ซอร์ส” นั่นคือมอบหมายให้คนนอกองค์กรของพวกเขาเป็นผู้ก่อการโจมตีสหรัฐฯ สิ่งนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นที่ซานเบอร์นาร์ดิโน แต่ในที่อื่นๆ ด้วย ในความเห็นของเขาแล้วการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องใช้วิธีการใหม่ๆ แบบยกชุด
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้น ตามการแถลงของทำเนียบขาวในวันเสาร์ (5) มีกำหนดการที่จะกล่าวปราศรัยถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ในช่วงไพรม์ไทม์คืนวันอาทิตย์ (6) ซึ่งตรงกับตอนเช้าวันจันทร์ (7) ในเมืองไทย เกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของการสืบสวนสอบสวนกรณียิงกราดที่ซานเบอร์นาร์ดิโน
ในรายงานข่าวของนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่คณะบริหารโอบามาหลายคนมีความเห็นว่าการสนับสนุนปากเสียงของชาวมุสลิมที่พูดจาขัดแย้งตอบโต้กับการเผยแพร่คำโฆษณาชวนเชื่อของพวกสุดโต่ง ให้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องทำกัน
“เราสามารถทำงานกับภาคเอกชน เพื่อให้มีผู้ซึ่งส่งข้อความที่เป็นปากเสียงของทางเลือกทางอื่นๆ กันมากขึ้น” ลิซา โมนาโค ที่ปรึกษาด้านต่อต้านการก่อการร้ายของประธานาธิบดีโอบามา บอกกับนิวยอร์กไทมส์ ทั้งนี้เธอกล่าวว่า เราจำเป็นต้องทำงานให้ดีขึ้นกว่านี้ ในการใช้วิธีการเช่นนี้ ซึ่งได้มีผู้คิดถ้อยคำวลีเกี่ยวกับภารกิจนี้เอาไว้แล้ว นั่นคือ จะต้อง “ทำลายข้อความหรือ 'สาร' ที่มาจากแบรนด์ของพวกไอเอส”