xs
xsm
sm
md
lg

รมต.มหาดไทยฝรั่งเศส ยืนยันปฏิเสธรับผู้อพยพซีเรียเข้าประเทศกว่า 1,000 ราย ตั้งแต่เหตุวินาศกรรมปารีส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แบร์กนาร์ กาเซอเนิฟ รัฐมนตรีมหาดไทยเมืองน้ำหอม
รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / MGR online - แบร์กนาร์ กาเซอเนิฟ รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสเผย ทางการแดนน้ำหอมได้ปฏิเสธการขอเข้าประเทศของผู้อพยพจำนวนกว่า 1,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรีย นับตั้งแต่เหตุก่อวินาศกรรมกลางกรุงปารีสเมื่อ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา

รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสเปิดเผยเรื่องดังกล่าวระหว่างการเดินทางไปยังเมืองสตราสบูร์ก ในวันเสาร์ (28 พ.ย.) โดยระบุว่าการตัดสินใจปฏิเสธผู้อพยพจำนวนกว่า 1,000 รายดังกล่าวของฝรั่งเศส เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่นำมาใช้เพื่อยกระดับความเข้มงวดในการควบคุมการผ่านเข้าออกพรมแดนของประเทศ และเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยรวมถึง ความมั่นคงของฝรั่งเศสเอง

นอกเหนือจากการปฏิเสธรับผู้อพยพที่ส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียดังกล่าวแล้ว รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสยังเปิดเผยว่า ทางกระทรวงฯ ได้สั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ศุลกากรและเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมแล้วกว่า 15,000 คนเพื่อคุมเข้มแนวชายแดนของประเทศก่อนถึงการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือการประชุม “COP21” ที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์ (30 พ.ย.) นี้ที่กรุงปารีส โดยมีบุคคลสำคัญระดับประมุขของรัฐและผู้นำรัฐบาลจากทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมเป็นจำนวนมาก

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทางการฝรั่งเศสมีขึ้นหลังจากที่กรุงปารีสต้องเผชิญกับเหตุโจมตีโดยผู้ก่อการร้ายอย่างน้อย 6 จุดเมื่อ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 130 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 350 คน ถือเป็นเหตุนองเลือดที่สุดในฝรั่งเศสนับตั้งแต่มหาสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และยังถือเป็นเหตุก่อวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่เหตุระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริดของสเปน เมื่อปี 2004

เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงปารีส รวมถึงที่ย่านชานเมืองอย่าง “แซงต์-เดอนีส์” ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงแดนน้ำหอม ที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาใกล้เคียงกันถึง 6 จุด มีทั้งเหตุกราดยิง การโจมตีของมือระเบิดฆ่าตัวตาย และการจับพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ได้นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

หลังเกิดเหตุไม่นาน ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศสได้ออกมาประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยระบุเหตุก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างจาก “การประกาศสงคราม” กับฝรั่งเศสโดยตรง พร้อมทั้งมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งกลายเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกของฝรั่งเศส นับตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลเมื่อปี 2005 เป็นต้นมา ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการประกาศ “เคอร์ฟิว” ในกรุงปารีส ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหานครแห่งแสงสี และเป็นเมืองหลวงที่ “มิเคยหลับ”

เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่เสียงปืนและเสียงระเบิดในกรุงปารีสเงียบสงบลง กลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (Islamic State : IS) ที่มีฐานอยู่ในซีเรียและอิรัก ออกมาประกาศอ้างตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายระลอกนี้ ทั้งที่เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกสนามกีฬาสตาด เดอ ฟรองซ์ (Stade de France), โรงละครบาตากล็อง (Bataclan theatre) ตลอดจนถนนอีก 4 สายในกรุงปารีส โดยคำแถลงของกลุ่มไอเอสที่มีการเผยแพร่บนโลกออนไลน์ระบุว่า นี่เป็นการแก้แค้นที่ฝรั่งเศสเปิดการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มไอเอสในซีเรีย และเป็นการตอบโต้ที่รัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโลกอิสลามและกดขี่ชาวมุสลิม

ด้านตำรวจฝรั่งเศสได้เปิดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายครั้งใหญ่ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยยกกำลังบุกตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยทั่วประเทศเกือบ 170 แห่ง ทำการจับกุมผู้ต้องหารวม 23 คน และยังสั่งกักบริเวณผู้ต้องสงสัยอีกกว่า 100 ราย ทั้งนี้ ตามคำแถลงของแบร์กนาร์ กาเซอเนิฟ รัฐมนตรีมหาดไทยเมืองน้ำหอม

ขณะที่นายกรัฐมนตรีมานูเอล วาลส์ ยืนยันว่าเหตุโจมตีนองเลือดที่นำไปสู่การสังเวย 130 ชีวิตในกรุงปารีส ถูกดำเนินการและวางแผนจากพื้นที่ควบคุมของกลุ่มไอเอสที่อยู่ในประเทศซีเรีย พร้อมกับออกคำเตือนว่าหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสพบข้อมูลที่ทำให้เชื่อได้ว่า กำลังมีการวางแผนก่อวินาศกรรมครั้งใหม่ขึ้นอีกทั้งในฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ทั่วยุโรป

อย่างไรก็ดี เหตุโจมตี 6 จุดกลางเมืองหลวงของฝรั่งเศสที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ลงมือก่อเหตุหลายรายแอบแฝงมากับคลื่นผู้อพยพ ได้ส่งผลกระทบให้บรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองในหลายประเทศทั่วยุโรป เริ่มหันมาทบทวนท่าทีและจุดยืนของตนต่อบรรดาผู้อพยพลี้ภัยจำนวนนับล้านที่ไหลบ่าจากซีเรีย และอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงทวีปแอฟริกาเข้าสู่ยุโรปตลอดระยะเวลาขวบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเยอรมนีที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กอย่างนางอังเกลา แมร์เคิลประกาศนโยบาย “เปิดประตู” รับผู้อพยพอย่างออกนอกหน้าไปก่อนหน้านี้

ขณะที่รัฐบาลของอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออกที่ก่อนหน้านี้ แสดงจุดยืนคัดค้านการรับผู้อพยพตามการจัดสรรโควตาของสหภาพยุโรป (อียู) มาโดยตลอด ต่างพากันออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นกว่าเดิม และประกาศไม่ยอมรับผู้อพยพลี้ภัยที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเข้าสู่ประเทศของตนอย่างเด็ดขาด

จนถึงขณะนี้ ข้อมูลจากการสืบสวนของทางการฝรั่งเศส สรุปได้ว่า เหตุก่อวินาศกรรม 6 จุดที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 130 ศพในกรุงปารีสนั้น ทางกลุ่มผู้ก่อเหตุซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ได้วางแผนโจมตีนี้ในซีเรีย จากนั้นจึงมีการตระเตรียมและจัดตั้งทีมก่อวินาศกรรมขึ้น ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของฝรั่งเศสอย่างเบลเยียม ก่อนที่ทีมโจมตีของกลุ่มไอเอสซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ทีมจะลักลอบเดินทางเข้าสู่ฝรั่งเศส โดยที่มีพลเมืองฝรั่งเศสสมรู้ร่วมคิดด้วย









กำลังโหลดความคิดเห็น