ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข่าวการก่อวินาศกรรมโดยผู้ก่อการร้ายกลางกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงก่อนเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้กลายเป็นข่าวเด่นประเด็นร้อนที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนทั่วทั้งโลก ไม่เพียงแต่ชาวฝรั่งเศสเท่านั้น โดยเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นถือได้ว่าก่อให้เกิดการนองเลือดที่สุดในฝรั่งเศสนับตั้งแต่มหาสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และยังถือเป็นเหตุก่อวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่เหตุระเบิดรถไฟที่กรุงมาดริดของสเปน เมื่อปี 2004
เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงปารีส รวมถึงที่ย่านชานเมืองอย่าง “แซงต์-เดอนีส์” ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวงแดนน้ำหอม ที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาใกล้เคียงกันถึง 6 จุด ถูกระบุว่า มีทั้งเหตุกราดยิง การโจมตีของมือระเบิดฆ่าตัวตายและการจับพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ได้นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
มีการยืนยันในเวลาต่อมาว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 129 รายจากการก่อวินาศกรรมในเมืองหลวงของแดนน้ำหอมคราวนี้ โดยในจำนวนนี้มีถึง 89 รายที่เป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงและจับตัวประกันที่ “โรงละครบาตากล็อง” เพียงแห่งเดียว ขณะที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วกรุงปารีส ต้องรองรับผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของผู้ก่อการร้ายครั้งนี้อีกมากกว่า 430 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสราว 80 รายที่อาจเสียชีวิตตามมาอีกในไม่ช้า
หลังเกิดเหตุไม่นาน ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศสได้ออกมาประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยระบุ เหตุก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างจาก “การประกาศสงคราม” กับฝรั่งเศสโดยตรง พร้อมทั้งมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งกลายเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งแรกของฝรั่งเศส นับตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลเมื่อปี 2005 เป็นต้นมา ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการประกาศ “เคอร์ฟิว” ในกรุงปารีส ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหานครแห่งแสงสี และเป็นเมืองหลวงที่ “มิเคยหลับ”
เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่เสียงปืนและเสียงระเบิดในกรุงปารีสเงียบสงบลง กลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (Islamic State : IS) ที่มีฐานอยู่ในซีเรียและอิรัก ออกมาประกาศอ้างตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายระลอกนี้ทั้งที่เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกสนามกีฬาสต๊าด เดอ ฟรองซ์ (Stade de France) , โรงละครบาตากล็อง (Bataclan theatre) ตลอดจนถนนอีก 4 สายในกรุงปารีส โดยคำแถลงของกลุ่มไอเอสที่มีการเผยแพร่บนโลกออนไลน์ระบุว่า นี่เป็นการแก้แค้นที่ฝรั่งเศสเปิดการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มไอเอสในซีเรีย และเป็นการตอบโต้ที่รัฐบาลฝรั่งเศส ดำเนินนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโลกอิสลามและกดขี่ชาวมุสลิม
ด้านตำรวจฝรั่งเศสได้เปิดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายครั้งใหญ่ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยยกกำลังบุกตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยทั่วประเทศเกือบ 170 แห่ง ทำการจับกุมผู้ต้องหารวม 23 คน และยังสั่งกักบริเวณผู้ต้องสงสัยอีกกว่า 100 ราย ทั้งนี้ ตามคำแถลงของแบร์กนาร์ด กาเซอเนิฟ รัฐมนตรีมหาดไทยเมืองน้ำหอม
ขณะที่นายกรัฐมนตรีมานูเอล วาลส์ ยืนยันว่า เหตุโจมตีนองเลือดที่นำไปสู่การสังเวย 129 ชีวิตในกรุงปารีสเมื่อวันศุกร์ (13) ถูกดำเนินการและวางแผนจากพื้นที่ควบคุมของกลุ่มไอเอสที่อยู่ในประเทศซีเรีย พร้อมกับออกคำเตือนว่าหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสพบข้อมูลที่ทำให้เชื่อได้ว่า กำลังมีการวางแผนก่อวินาศกรรมครั้งใหม่ทั้งในฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ ทั่วยุโรป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุก่อวินาศกรรมกลางกรุงปารีสได้สร้างความสูญเสียอย่างมิอาจประเมินค่าได้ และนำมาซึ่งการถูกตั้งคำถามของประสิทธิภาพในการทำงานของบรรดาหน่วยงานด้านข่าวกรองและความมั่นคงของทั้งฝรั่งเศส และบรรดาชาติพันธมิตรในโลกตะวันตกที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทางกลุ่มรัฐอิสลามได้ประกาศผ่านสื่อที่มีการเผยแพร่กันอย่างโจ่งแจ้งบนโลกออนไลน์ว่า จะก่อเหตุโจมตีฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ตลอดจน ชาติพันธมิตรตะวันตกอีกหลายชาติ ที่ร่วมผนึกกำลังกันเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มไอเอสในซีเรียก่อนหน้านี้
ในส่วนของปฏิกิริยาจากนานาชาตินั้น บรรดาประมุขของรัฐ ตลอดจน หัวหน้าคณะรัฐบาลของประเทศต่างๆ พากันแสดงออกในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนั่นคือ การแสดงความเสียใจและให้กำลังใจต่อรัฐบาลและประชาชนชาวฝรั่งเศส ที่ต้องเผชิญกับเหตุก่อวินาศกรรมครั้งเลวร้าย พร้อม ๆ กับการประกาศจุดยืนร่วมในการต่อต้านลัทธิสุดโต่ง และการก่อการร้าย ที่กลายเป็นภัยคุกคามความสงบสุขและสันติภาพของโลก
ขณะเดียวกันกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดังอย่าง “Anonymous” ที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศศักดา ด้วยการเจาะระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลและภาคเอกชนในหลายประเทศ ได้ออกมาประกาศจุดยืนของตน ในการประกาศสงครามกับกลุ่มไอเอส โดยยืนยันจะเดินหน้าถล่มเว็บไซต์และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มนักรบมุสลิมนิกายสุหนี่หัวสุดโต่งกลุ่มนี้ให้ย่อยยับ เพื่อตอบโต้ที่ไอเอสก่อวินาศกรรมในกรุงปารีสโดยมีพลเรือนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเป้าสังหารจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี เหตุโจมตี 6 จุดกลางเมืองหลวงของฝรั่งเศสที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ลงมือก่อเหตุหลายรายแอบแฝงมากับคลื่นผู้อพยพ ได้ส่งผลกระทบให้บรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองในหลายประเทศทั่วยุโรป เริ่มหันมาทบทวนท่าทีและจุดยืนของตนต่อบรรดาผู้อพยพลี้ภัยจำนวนนับล้านที่ไหลบ่าจากซีเรีย และอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางรวมถึงทวีปแอฟริกา เข้าสู่ยุโรป ตลอดระยะเวลาขวบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเยอรมนีที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กอย่างนางอังเกลา แมร์เคิลประกาศนโยบาย “เปิดประตู” รับผู้อพยพอย่างออกนอกหน้าไปก่อนหน้านี้
ขณะที่รัฐบาลของอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออกที่ก่อนหน้านี้ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการรับผู้อพยพ ตามการจัดสรรโควต้าของสหภาพยุโรป (อียู) มาโดยตลอด ต่างพากันออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นกว่าเดิม และประกาศไม่ยอมรับผู้อพยพลี้ภัยที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เข้าสู่ประเทศของตนอย่างเด็ดขาด
จนถึงขณะนี้ ข้อมูลจากการสืบสวนของทางการฝรั่งเศส สรุปได้เบื้องต้นว่า เหตุก่อวินาศกรรม 6 จุดที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 129 ศพในกรุงปารีสนั้น ทางกลุ่มผู้ก่อเหตุซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอสได้วางแผนโจมตีนี้ในประเทศซีเรีย จากนั้นจึงมีการตระเตรียมและจัดตั้งทีมก่อวินาศกรรมขึ้น ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของฝรั่งเศสอย่างเบลเยียม ก่อนที่ทีมโจมตีของกลุ่มไอเอสจะลักลอบเดินทางเข้าสู่ฝรั่งเศส โดยที่มีพลเมืองฝรั่งเศสสมรู้ร่วมคิดด้วย
บุคคลที่ตำรวจฝรั่งเศสเชื่อว่าน่าจะเป็น “ตัวการใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี 129 ศพกลางกรุงปารีส คือ อับเดลฮามิด อาบาอูด นักรบญิฮัดชาวเบลเยียมวัย 28 ปี ซึ่งเกิดในประเทศโมร็อกโก และเคยมีส่วนวางแผนก่อเหตุร้ายและแสวงหาแนวร่วมใหม่ๆ ในแผ่นดินยุโรปให้กับกลุ่มไอเอสตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนแนวร่วมในการก่อเหตุโจมตีช็อกโลกคราวนี้ถูกระบุว่าอาจมีจำนวนระหว่าง 7-9 ราย ซึ่งหลายรายในจำนวนนี้ได้แฝงตัวเข้าสู่ยุโรปในช่วงก่อนหน้านี้ในฐานะของ “ผู้อพยพหนีภัยสงคราม” ที่น่าสงสารจากซีเรีย
จนถึงขณะนี้ทางการฝรั่งเศสสามารถระบุชื่อและตัวตนของกลุ่มผู้ก่อเหตุวินาศกรรมปารีสได้บ้างแล้ว โดยนอกจาก อับเดลฮามิด อาบาอูด นักรบญิฮัดชาวเบลเยียมเชื้อสายโมร็อกโกที่เชื่อว่าเป็นผู้วางแผนโจมตีแล้ว พนักงานสอบสวนแดนน้ำหอมยังพบว่า คนร้าย 2 ใน 3 คนที่กดระเบิดฆ่าตัวตายภายในโรงละครบาตากล็อง ซึ่งเป็นจุดที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 89 รายนั้น แท้จริงแล้ว เป็นผู้ที่ “เติบโตในแผ่นดินฝรั่งเศส” ทั้งในรายของซามี อามีมูร์ วัย 28 ปี ที่เคยอาศัยอยู่ในย่านดร็องซี (Drancy) ซึ่งเป็นชุมชนผู้อพยพทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปารีสและเคยทำงานเป็นคนขับรถบัสโดยสาร ก่อนจะถูกจับฐานวางแผนก่อการร้ายในฝรั่งเศสเมื่อเดือน ตุลาคม ปี 2012 และละเมิดเงื่อนไขประกันตัว โดยหลบหนีไปยังซีเรียในราวๆ 1 ปีต่อมาเพื่อเข้าร่วมกลุ่มไอเอส
ส่วนอีกรายหนึ่ง คือ โอมาร์ อิสมาอีล มอสเตไฟ วัย 29 ปี ซึ่งเกิดที่ย่านกูร์กูรอนน์ส (Courcouronnes) ของกรุงปารีสเช่นกัน โดยที่มอสเตไฟ เคยถูกตำรวจฝรั่งเศสเพ่งเล็งว่าอาจเป็นพวกที่มีแนวคิดสุดโต่งเมื่อปี 2010 และเป็นที่เชื่อกันว่าชายคนนี้ น่าจะเคยเดินทางไปซีเรียเพื่อเข้าร่วมกลุ่มไอเอสมาแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
สำหรับผู้ลงมือก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณด้านนอกของสนามกีฬาสต๊าด เดอ ฟรองซ์ในย่านแซงต์-เดอนีส์ ในระหว่างที่มีการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสและทีมชาติเยอรมนีนั้น ข้อมูลล่าสุดจากทีมสืบสวนของทางการฝรั่งเศสระบุว่า ประกอบด้วยอาหมัด อัล-โมฮัมหมัด วัย 25 ปี ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดอิบลิบ ในประเทศซีเรียและบิลัล ฮัดฟี วัย 20 ปี ซึ่งยังไม่ทราบประวัติที่แน่ชัด
นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า 3 พี่น้องตระกูลอับเดสลามที่ประกอบไปด้วยบราฮิม โมฮัมเหม็ด และซาลาห์ ต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย 129 ศพกลางเมืองหลวงของฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน โดยที่บราฮิมวัย 31 ปี ถูกระบุว่าเป็นคนร้ายซึ่งเสียชีวิตใกล้โรงละครบาตากล็อง ขณะที่โมฮัมเหม็ดถูกจับกุมตัวได้ในเบลเยียม และซาลาห์ในวัย 26 ปียังคงหลบหนี
***เผยประวัติผู้บงการโจมตีปารีส จากศิษย์ร.ร.ดังในเบลเยียม สู่สมาชิกกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม***
ใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งอับเดลฮามิด อาบาอูด ซึ่งเคยเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาของหนึ่งใน โรงเรียนมัธยม ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม กลับกลายมาเป็นนักรบญิฮัดที่โด่งดังที่สุดของเบลเยียมในเวลานี้ โดยเป็นทั้งสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มไอเอสที่อุทิศตนเพื่อก่อสงครามศักดิ์สิทธิ์กับโลกตะวันตก และยังเป็นบุคคลที่ฝรั่งเศสเชื่อว่า คือผู้บงการโจมตีก่อการร้ายกรุงปารีส ที่คร่าชีวิตผู้คนบริสุทธิ์ไปอย่างน้อย 129 ศพ
อับเดลฮามิด อาบาอูด ถูกระบุว่าเป็นบุตรชายของครอบครัวผู้อพยพชาวโมร็อกโก ที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเบลเยียมเขาเติบโตในแถบโมลองบีค-แซงต์-ฌอง ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้อยู่อาศัยหลากหลายเชื้อชาติและกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกมุสลิมที่มีแนวคิดสุดโต่งในเมืองหลวงเบลเยียม
รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสซึ่งเกี่ยวข้องกับการสืบสวนเหตุก่อวินาศกรรมนี้โดยตรง ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพี โดยระบุ ฝรั่งเศสเชื่อว่าอาบาอูด มีส่วนพัวพันกับแผนก่อการร้ายหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่ถูกสกัดไว้ได้ก่อนหน้านี้ โดยหนึ่งในนั้นคือความพยายามก่อเหตุโจมตีบนขบวนรถไฟความเร็วสูงเที่ยวสู่ปารีส ที่โดนขัดขวางโดยวัยรุ่นอเมริกัน 3 คนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รวมถึงแผนโจมตีโบสถ์แห่งหนึ่งย่านชานเมืองของกรุงบรัสเซลส์
"ทั้งชีวิตของผม ได้มองเห็นแต่เลือดของชาวมุสลิมที่หลั่งไหล ผมภาวนาให้พระเจ้าทรงจัดการกับคนชั่วเหล่านี้ กับพวกที่ต่อต้านพระองค์ ผมเชื่อว่าทหารของพระองค์หรือแม้แต่ผู้ที่เลื่อมใสพระองค์ และตัวพระองค์เอง จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก" อาบาอูด เคยกล่าวในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อปี 2014
ที่ผ่านมาทางการเบลเยียมยังต้องสงสัยว่าเขามีบทบาทสำคัญในการช่วยจัดตั้งและสนับสนุนเครือข่ายก่อการ ร้ายกลุ่มหนึ่งในเมืองแวร์วิเยร์ ที่ถูกตำรวจติดอาวุธบุกทลายไปเมื่อวันที่ 15 มกราคม และสังหารผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาไป 2 ราย
*** ผู้นำจี 20 ชักธงรบกลุ่มก่อการร้าย หลังวินาศกรรมปารีส***
การก่อการร้ายครั้งใหญ่ต่อกรุงปารีสเมื่อวันศุกร์ (13) ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงกดดันให้เหล่าผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 ที่ร่วมประชุมสุดยอดกันอยู่ที่เมืองอันตัลยาตุรกีในช่วงสุดสัปดาห์ ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการหาทางยุติสงครามกลางเมืองในซีเรียที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2011 และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 250,000 ราย โดยที่สงครามกลางเมืองซีเรียนี้เองที่กลายเป็นต้นตอการถือกำเนิดของกลุ่มนักรบญิฮัดรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี 129 ศพในกรุงปารีสของฝรั่งเศส
แม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างบารัค โอบามา กับวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย ยังยอมละวางความขัดแย้งระหว่างวอชิงตันและมอสโก แล้วยอมหันหน้าหารือกันนอกรอบกันนานกว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดจี 20 ที่ตุรกีคราวนี้ เพื่อปรับจุดยืนในซีเรียให้สอดคล้องกันมากขึ้น รวมถึงหาวิธีจัดการกับการก่อการร้ายในปารีสที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 129 ราย
ผู้นำชาติมหาอำนาจทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพในซีเรีย โดยมีสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นเจ้าภาพ และยังแสดงจุดยืนสนับสนุนให้มีการหยุดยิง และตั้งรัฐบาลชั่วคราวในซีเรียเพื่อดูแลประเทศนี้ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่เหล่านักการทูตพยายามผลักดัน ระหว่างการเจรจาที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรียในช่วงก่อนหน้านี้
การก่อการร้ายในกรุงปารีสยังทำให้ภารกิจปราบปรามไอเอส กลายเป็นประเด็นร้อนบดบังประเด็นสำคัญอื่นๆ ในซัมมิตจี 20 คราวนี้ไปโดยปริยาย โดยประธานาธิบดีเรเซป ตายยิป เออร์โดกันแห่งตุรกี เปิดการประชุมด้วยการเชิญชวนผู้นำชาติต่างๆ ยืนสงบไว้อาลัยให้แก่เหยื่อโศกนาฏกรรมที่ปารีส ขณะที่ในร่างคำแถลงร่วมของกลุ่มผู้นำจี 20 ต่างเห็นพ้องต่อการยกระดับการเตือนภัยการหลั่งไหลของนักรบต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน รวมทั้งประกาศแบ่งปันข้อมูลด้านข่าวกรอง การติดตามการผ่านแดน และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน รวมทั้ง ความร่วมมือระหว่างประเทศในการตัดช่องทางระดมทุน เพื่อสกัดความเคลื่อนไหวของเหล่านักรบญิฮัด
นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า ความมั่นคงของยุโรปนับจากนี้ ขึ้นอยู่กับการทำลายลัทธิมรณะของกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรียเป็นสำคัญ ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกล่าวว่า ลัทธิก่อการร้ายเป็นศัตรูของทุกประเทศ และเรียกร้องให้มี “แนวร่วมต่อต้าน” ภัยคุกคามจากพวกสุดโต่งนี้
***ผวาซ้ำรอยปารีส! หลายมลรัฐมะกัน ประกาศงดรับผู้ลี้ภัยซีเรีย ***
5 ผู้ว่าการรัฐของสหรัฐฯเผยในวันจันทร์ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยยืนกรานว่า พวกเขาตัดสินใจจะเดินตามรอยของมลรัฐแอละแบมาและมิชิแกน ในการที่จะไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเข้ามาตั้งรกรากในมลรัฐของพวกเขา โดยระบุว่าอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้คนจากประเทศที่ถูกสงครามฉีดขาดและเป็นต้นตอของลัทธิสุดโต่ง เข้ามาพักอาศัย โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุก่อการร้ายโจมตีกรุงปารีส
เกรก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส จากรีพับลิกัน, อาซา ฮัตชินสัน จากมลรัฐอาร์คันซอส์, ไมค์ เพนซ์ จากอินดีแอนา, บ็อบบี จินดาล แห่งมลรัฐลุยเซียนา และฟิล ไบรอันท์ จากมลรัฐมิสซิสซิปปี ยืนยันว่ามลรัฐภายใต้การดูแลของพวกเขา ไม่สนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลบารัค โอบามา สำหรับการรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 10,000 คนเข้าประเทศ ในช่วงเวลาหลายปีข้างหน้าอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายให้ความเห็นว่า ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า บรรดาผู้ว่าการรัฐ จะมีอำนาจในการยับยั้งการรับผู้ลี้ภัยเข้ามาตั้งรกรากภายในสหรัฐ หรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ถือเป็นผู้มีอำนาจตามกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องผู้ลี้ภัย ถ้าหากรัฐบาลกลางอเมริกันยอมเปิดประตูรับผู้ลี้ภัยซีเรียเข้าประเทศ พวกเขาก็น่าจะได้อยู่ที่นี่ บนแผ่นดินอเมริกาแห่งนี้ ทั้งนี้ เป็นความเห็นของเดโบราห์ อันเคอร์ ศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ณ โรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าของสหรัฐฯ ด้านประเด็นผู้ลี้ภัย
ที่ผ่านมา สหรัฐฯประกาศรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียจำนวน 1,682 คนเข้าประเทศ ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เพิ่มขึ้นจาก 105 คนของหนึ่งปีก่อนหน้านี้ โดยที่มลรัฐเทกซัส แคลิฟอร์เนียและมิชิแกน ได้รับการแบ่งสรรประชาชนผู้หลบหนีภัยสงครามจากซีเรียในจำนวนที่มากกว่ามลรัฐแห่งอื่น ๆ ขณะที่จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เผยในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า สหรัฐอเมริกาจะเพิ่มจำนวนการรับผู้อพยพจากประเทศต่างๆเป็น 15,000 คนต่อปี ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ยอดรวมจะเป็น 100,000 คนต่อปีในปี 2017
*** จับตาทฤษฎีสมคบคิด อเมริกาพัวพันหนุนนักรบไอเอส ***
ก่อนเกิดการก่อวินาศกรรมในกรุงปารีสของฝรั่งเศสนานแรมปี มีการเผยแพร่ “ทฤษฎีสมคบคิด” ในโลกอาหรับว่า ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลสหรัฐอเมริกา คือ ผู้ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ ต่อการถือกำเนิด และการแผ่ขยายอิทธิพลสร้างความหวาดกลัวของกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลางและฉวยโอกาสให้สหรัฐอเมริกาได้เข้าแทรกแซงภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งอุดมไปด้วย “ทรัพยากรน้ำมัน”
ข่าวลือเรื่องทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวดูจะได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อจอมแฉอย่างเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนที่เคยเป็นอดีตลูกจ้างหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลอเมริกันออกมาเปิดโปงเอกสารลับสุดยอด ของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นเอสเอ) ที่ระบุว่า แท้จริงแล้ว ผู้นำสูงสุดของกลุ่มไอเอสอย่างอาบูบาการ์ อัล-บักดาดีนั้น เป็นสายลับที่ถูกส่งตรงมาจากหน่วยสืบราชการลับ “มอสสาด” ของอิสราเอล และเป็นเพียง “หุ่นเชิด” หรือ “นักแสดงรับจ้าง” ที่สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ใช้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงตะวันออกกลางเพื่อ “ขายอาวุธ” และเข้าถึง “แหล่งน้ำมัน” เท่านั้น
ขณะเดียวกัน สื่อดังอย่างนิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า แท้จริงแล้วสหรัฐอเมริกา อิสราเอล รวมถึงราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียต่างร่วมมือกันสถาปนากลุ่มนักรบรัฐอิสลามขึ้นเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ตลอดจนการจำกัดบทบาทของ “อิหร่าน” ที่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจร่วมกันทั้งของสหรัฐฯ อิสราเอล และซาอุดีอาระเบียตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านั้น สื่อแขนงต่างๆ ทั้งในอียิปต์ ตูนิเซีย ปาเลสไตน์ จอร์แดน และเลบานอน ต่างรายงานข่าวมากมายที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯกับกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม ถึงแม้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในกรุงเบรุตของเลบานอน จะเคยออกคำแถลงอย่างเป็นทางการปฏิเสธสายสัมพันธ์ดังกล่าวกับกลุ่มไอเอสที่ในเวลานี้สามารถยึดครองพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 10 ล้านคนทั้งในซีเรียและอิรัก และยังมีความเชื่อมโยงกับพวกนักรบสุดโต่งในอีกหลายประเทศทั้งลิเบีย อียิปต์ ไนจีเรีย ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ดี ไม่ว่ากลุ่มนักรบรัฐอิสลาม หรือกลุ่มไอเอสจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุก่อวินาศกรรมกลางกรุงปารีสมากน้อยเพียงใด แต่เหตุก่อการร้ายที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเกือบ 130 รายในครั้งนี้ ส่งผลให้ทั่วโลกหันหน้าเข้าหากันเพื่อผนึกกำลังต่อต้านความรุนแรงจากลัทธิสุดโต่งที่แผ่ขยายอิทธิพลสร้างความหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังเหตุวินาศกรรมเมืองหลวงของฝรั่งเศส ปัญหาการก่อการร้ายและคลื่นผู้อพยพชาวมุสลิมในแผ่นดินยุโรปจะเป็นประเด็นปัญหาที่ถูกจับตามองมากที่สุดนับจากนี้ เช่นเดียวกับภารกิจในการกวาดล้างกลุ่มนักรบไอเอสของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่ต้องเดินหน้าอย่างจริงจัง ไม่ว่ากระแสข่าวลือที่แพร่สะพัด เกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างวอชิงตันกับกลุ่มไอเอสจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ก่อนที่จะเกิดเหตุโจมตีนองเลือดโดยผู้ก่อการร้ายเช่นนี้อีกในครั้งต่อไป