เอเอฟพี - การติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุโจมตีในกรุงปารีสยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นอีกในวันอังคาร (17 พ.ย.) หลังคณะสืบสวนฝรั่งเศสได้ข้อสรุปจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่า อาจมี “ชายคนที่ 9” ร่วมก่อเหตุวินาศกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองน้ำหอมด้วย
พนักงานสอบสวนระบุว่า ผู้ต้องสงสัยรายล่าสุดปรากฏเป็น “บุคคลที่ 3” อยู่ในรถยนต์คันหนึ่งที่คนร้ายใช้ก่อเหตุโจมตีคาเฟ่ และร้านอาหารย่านใจกลางกรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ชายที่ว่านี้อาจจะเป็น 1 ใน 2 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมแล้วในเบลเยียม หรืออาจอยู่ระหว่างหลบหนีไปพร้อมกับ “ซาลาห์ อับเดสลาม” วัย 26 ปี ที่ก่อเหตุกราดยิงพร้อมกับ “บราฮิม” พี่ชายของเขาที่เป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย
ตำรวจเบลเยียมไม่พบตัว อับเดสลาม ขณะบุกเข้าตรวจค้นชุมชนผู้อพยพในกรุงบรัสเซสล์เมื่อวันจันทร์ (16) ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีการพบเห็นเขาในเยอรมนีจนนำไปสู่การไล่ล่าก็ปรากฏว่าไม่ใช่กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีปารีสแต่อย่างใด
กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาประกาศความรับผิดชอบ และอ้างว่ามีผู้ร่วมก่อเหตุรวมทั้งสิ้น 8 คน
ขณะที่การติดตามคนร้ายยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ พนักงานสอบสวนก็ต้องการระบุให้ได้ถึงสถานที่และวันเวลาที่คนร้ายใช้วางแผน รวมถึงผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ ที่อาจยังลอยนวลอยู่
แผนและเวลา
การสื่อสาร ขั้นตอนการวางแผน และเส้นทางที่กลุ่มคนร้ายใช้ ถือเป็นโจทก์สำคัญที่ทีมสืบสวนต้องการหาคำตอบให้ได้
เมื่อวันอังคาร (17) ตำรวจพบรถยนต์เรโนลต์ คลีโอ สีดำ ที่อับเดสลามเป็นผู้เช่าจอดอยู่ในเขตทางตอนเหนือของปารีส โดยก่อนหน้านั้นมีผู้พบเห็นรถยนต์คันนี้อยู่บนถนนมอเตอร์เวย์สาย A1 ซึ่งมุ่งจากเมืองหลวงฝรั่งเศสไปทางทิศเหนือ
จากการตรวจสอบพบว่า อับเดสลามใช้บัตรเครดิตธนาคารเช่าโรงแรม 2 ห้องทางตอนเหนือของกรุงปารีสเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะเกิดเหตุโจมตีสนามกีฬา สตาด เดอ ฟรองซ์, โรงละครบาตากล็อง และภัตตาคารอีกหลายแห่งพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยอีกหลายอย่าง เช่น หนึ่งในมือปืนซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสชื่อ “ซามี อามีมูร์” เดินทางกลับจากซีเรียเข้ามายังยุโรปโดยไม่ถูกตรวจพบได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขามีหมายจับสากลติดตัวอยู่ และเหตุใดตำรวจเบลเยียมจึงไม่เคยแจ้งให้ทางการฝรั่งเศสทราบเกี่ยวกับพี่น้องตระกูล “อับเดสลาม” ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ และถูกตำรวจเพ่งเล็งว่าเป็นอิสลามิสต์หัวรุนแรง
ตำรวจระบุชื่อใครบ้าง?
พนักงานสอบสวนพบว่า คนร้าย 2 ใน 3 คนที่กดระเบิดฆ่าตัวตายภายในโรงละครบาตากล็อง ซึ่งเป็นจุดที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 89 ราย เติบโตในฝรั่งเศส
ซามี อามีมูร์ วัย 28 ปี เคยอาศัยอยู่ที่ย่านดร็องซี (Drancy) ซึ่งเป็นชุมชนผู้อพยพทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปารีส และทำงานเป็นคนขับรถบัส เขาเคยถูกจับฐานวางแผนก่อการร้ายเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2012 และละเมิดเงื่อนไขประกันตัวโดยหลบหนีไปยังซีเรียในราวๆ 1 ปีต่อมา
โอมาร์ อิสมาอีล มอสเตไฟ วัย 29 ปี เกิดที่ย่านกูร์กูรอนน์ส (Courcouronnes) ในเมืองหลวงฝรั่งเศสเช่นกัน เขามีประวัติก่อคดีอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ และเมื่อปี 2010 เคยถูกตำรวจฝรั่งเศสเพ่งเล็งว่าเป็นพวกที่มีแนวคิดสุดโต่ง เชื่อกันว่าชายคนนี้น่าจะเคยเดินทางไปซีเรียมาแล้ว
ตำรวจได้ควบคุมตัวบุคคล 9 คนที่มีความใกล้ชิดกับ มอสเตไฟ และ อามีมูร์ ส่วนมือระเบิดคนที่ 3 ซึ่งพบศพอยู่ที่โรงละครบาตากล็อง ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้
พนักงานสอบสวนยังระบุชื่อ บิลาล ฮัดฟี วัย 20 ปี ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในเบลเยียม และเคยเดินทางไปซีเรียมาแล้ว หนุ่มคนนี้เป็น 1 ใน 3 คนร้ายที่กดระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณสนามกีฬา สตาด เดอ ฟรองซ์ จนทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 1 คน
เมื่อวันจันทร์ (16) ตำรวจเบลเยียมได้บุกเข้าจับกุม โมฮัมเหม็ด อัมรี วัย 27 ปี และ ฮัมซา อัตตู วัย 20 ปี ที่ชุมชนผู้อพยพในเขต โมลองบีก แซงต์-ฌอง (Molenbeek-Saint-Jean) โดยเชื่อว่าทั้งสองอาจมีส่วนช่วยให้ ซาลาห์ อับเดสลาม หลบหนี
ใครบ้างที่ยังไม่ทราบชื่อ?
เมื่อวานนี้ (17) ตำรวจฝรั่งเศสได้เปิดเผยภาพถ่ายหนึ่งในคนร้ายที่กดระเบิดฆ่าตัวตายนอกสนามกีฬา สตาด เดอ ฟรองซ์ เพื่อสืบหาตัวตนของเขา โดยพบหนังสือเดินทางซีเรียตกอยู่ใกล้ๆ ศพ แต่พนักงานสอบสวนเชื่อว่า พาสปอร์ตเล่มนี้น่าจะเป็นของทหารซีเรียนายหนึ่งที่มีรายงานว่าถูกสังหารเมื่อหลายเดือนก่อน
จากการตรวจสอบลายนิ้วมือของชายคนนี้ พบว่าเคยถูกลงทะเบียนไว้ที่กรีซเมื่อเดือน ต.ค. จากนั้นผู้ถือพาสปอร์ตได้ข้ามพรมแดนมาซิโดเนียเข้าไปยังเซอร์เบีย และยื่นคำร้องขอลี้ภัยอย่างเป็นทางการที่นั่น
สำหรับศพคนร้ายที่ 3 ซึ่งพบอยู่ด้านนอกสนามกีฬา สตาด เดอ ฟรองซ์ ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้เช่นกัน โดยตำรวจยังไม่ทราบเหตุจูงใจที่ทำให้ชายทั้งสามเลือกกดระเบิดเสื้อกั๊กฆ่าตัวตายในบริเวณที่เปลี่ยว ทั้งๆ ที่ภายในสนามมีผู้นั่งชมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมฝรั่งเศสกับเยอรมนีอยู่ถึง 80,000 คน
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังต้องการทราบตัวตน “ชายคนที่ 9” ซึ่งจากภาพวงจรปิดจะเห็นว่าเขานั่งอยู่ในรถคันเดียวกับสองพี่น้องอับเดสลามที่กราดยิงบาร์ ลา บอนน์ บิแยร์ จนมีผู้เสียชีวิต 5 ราย
รถ “เซียต” สีดำซึ่งคนร้ายกลุ่มนี้ใช้ก่อเหตุถูกนำไปจอดอยู่ที่ย่านมงเทรย (Montreuil) ทางตะวันออกของปารีส โดยภายในรถพบปืน AK-47 ซุกซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง
วางแผนในซีเรีย?
ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ แห่งฝรั่งเศส เอ่ยถึงเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (13) ว่า เป็น “การก่อสงคราม” ที่กลุ่มคนร้ายได้ “ตัดสินใจและวางแผนในซีเรีย จากนั้นจึงตระเตรียมและจัดตั้งทีมก่อเหตุในเบลเยียม และลักลอบเข้ามายังแผ่นดินของเรา โดยมีชาวฝรั่งเศสสมรู้ร่วมคิด”
มอสเตไฟ, อามีมูร์ และฮัดฟี ล้วนเคยเดินทางไปซีเรียมาก่อน ส่วนสองพี่น้องอับเดสลามก็น่าจะเช่นกัน
บุคคลที่ตำรวจเชื่อว่าน่าจะเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีปารีส คือ อับเดลฮามิด อาบาอูด นักรบญิฮัดชาวเบลเยียมวัย 28 ปี ซึ่งเกิดในโมร็อกโก และเคยมีส่วนวางแผนก่อเหตุร้ายและแสวงหาแนวร่วมใหม่ๆ ในยุโรปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
อาบาอูด ผู้นี้มักโอ้อวดเรื่องที่ตนหลบหนีการตามล่าของตำรวจยุโรปลงในนิตยสาร “ดาบิก” (Dabiq) ของกลุ่มไอเอสอยู่เป็นประจำ และเคยมีประวัติก่อคดีอาชญากรรมในกรุงบรัสเซลส์ร่วมกับ ซาลาห์ อับเดสลาม ในช่วงปี 2010-2011
แม้พนักงานสอบสวนจะยังไม่พบหลักฐานยืนยันว่าเหตุโจมตีปารีสครั้งนี้เกิดจาก “คำสั่ง” ของผู้บงการในซีเรีย แต่ชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งซึ่งเดินทางกลับจากซีเรียและถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ได้เมื่อเดือน ส.ค. บอกกับพนักงานสอบสวนว่า เขาเคยได้รับคำสั่งจากอาบาอูดให้ก่อเหตุวินาศกรรมสักครั้งหนึ่ง และถ้าโจมตี “งานคอนเสิร์ต” ได้ก็จะยิ่งดี