รอยเตอร์ - เหตุก่อการร้ายในปารีสมีแนวโน้มทำให้ทั่วโลกยกระดับปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) อย่างเข้มแข็งจริงจังขึ้น หลังจากการโจมตีทางอากาศที่อเมริกาเป็นแม่งานมานานนับปีบ้อท่าสนิท มิหนำซ้ำยังทำให้นักรบญิฮัดหัวรุนแรงกลุ่มนี้ได้พิสูจน์ตัวเองว่า เป็นภัยคุกคามต่อโลกอย่างแท้จริง
อเมริกาที่ถูกกล่าวหามาตลอดว่า ใช้แนวทางยกระดับการต่อสู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น กำลังถูกกดดันทางการเมืองทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ และคาดว่าจะศึกษาวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มดีกรีการโจมตี ซึ่งรวมถึงการขยายปฏิบัติการทางอากาศ
เจ้าหน้าที่อเมริกันเผยว่า วอชิงตันคาดหวังเป็นอย่างมากให้พันธมิตรยุโรปและอาหรับมีส่วนร่วมในสงครามในอิรักและซีเรียมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าปารีสและวอชิงตันจะยินดีขยายขอบเขตการเกี่ยวพันทางทหารร่วมกันหรือไม่ เนื่องจากมีความขัดแย้งรุนแรงเรื่องการรบภาคพื้นดินขนาดใหญ่ในตะวันออกกลาง กระนั้น ระยะหลังมานี้ดูเหมือนประธานาธิบดีบารัค โอบามา เห็นดีกับการทำสงครามมากขึ้น ส่วนบรรดาสมาชิกรัฐสภา รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายมองว่าการโจมตีปารีสครั้งล่าสุดจะสนับสนุนความชอบธรรมในการเพิ่มปฏิบัติการทางทหาร
กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างความรับผิดชอบต่อการก่อการร้ายในปารีสเมื่อวันศุกร์ (13) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 129 คน และถือเป็นการโจมตีนองเลือดที่สุดที่ฝรั่งเศสเคยประสบมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนั้น ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังมีการโจมตีที่ไอเอสอวดอ้างว่า เป็นผลงานของตัวเองเกิดขึ้นหลายครั้ง ได้แก่ ระเบิดฆ่าตัวตายสองครั้งในเขตมุสลิมชีอะต์ทางใต้ของกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน ที่มีผู้เสียชีวิต 43 ราย และกรณีเครื่องบินของสายการบินรัสเซียตกเหนือคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ ที่มีผู้เสียชีวิต 224 ราย
ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ สมาชิกคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐฯ สังกัดพรรคเดโมแครต กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กลยุทธ์การโจมตีทางอากาศอย่างจำกัดของโอบามาเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินในอิรักและซีเรียไม่เพียงพอปกป้องอเมริกาและพันธมิตร
บรูซ ไรเดล อดีตผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ในตะวันออกกลางที่ให้คำแนะนำโอบามา แสดงความเห็นว่า เหตุการณ์โจมตีหลายระลอกในช่วงที่ผ่านมา เป็นการสยบข้อถกเถียงที่ว่า สงครามในอิรักและซีเรียควรพุ่งเป้าที่ไอเอสหรือไม่
ในส่วนผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีต่างเพิ่มการกดดันต่อคณะบริหารหลังเหตุการณ์ถล่มปารีส เช่น เจบ บุช อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดาที่บอกว่า ผู้ก่อการร้ายอิสลามเกี่ยวข้องในความพยายามอย่างเป็นระบบในการทำลายอารยธรรมตะวันตก และอเมริกาต้องเป็นผู้นำในการกวาดล้างกลุ่มนี้
“นี่คือสงครามในยุคสมัยเรา” บุชให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุแห่งหนึ่งเมื่อคืนวันศุกร์
ด้านฝรั่งเศสประกาศไม่รอช้าว่า จะยกระดับการมีส่วนร่วมในการโจมตีทางอากาศต่อไอเอส
อนึ่ง ก่อนเหตุการณ์โจมตีปารีส ฝรั่งเศสประกาศแล้วว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน ชาร์ลส์ เดอ โกล จะเดินทางถึงอ่าวเปอร์เซียเพื่อร่วมโจมตีไอเอสในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้
สำหรับโอบามาเพิ่งตกลงส่งกองกำลังพิเศษไปยังซีเรียเพื่อร่วมมือกับนักรบกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียในปฏิบัติการภาคพื้นดินเมื่อเดือนที่แล้ว รวมทั้งสั่งส่งเครื่องบินไปประจำการเพิ่มในตุรกี
เจ้าหน้าที่อเมริกันเผยว่า พันธมิตรซึ่งรวมถึงชาติอาหรับกำลังหารือกันในการเพิ่มบทบาทในการโจมตีทางอากาศ รวมทั้งการพิจารณาว่า จะมีการส่งกองกำลังพิเศษเข้าสู่อิรักและซีเรียหรือไม่
ไรเดลและอดีตเจ้าหน้าที่อเมริกันอีกคนแนะนำว่า อเมริกาและพันธมิตรสามารถสร้างความเสียหายต่อไอเอสอย่างรวดเร็วด้วยการเพิ่มความกดดันต่อผู้นำของกลุ่มนี้ เช่น โดยการโจมตีอย่างแม่นยำขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในระยะหลัง เช่น เมื่อวันศุกร์อเมริกาสามารถสังหารผู้นำไอเอสในลิเบียสำเร็จ และก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน วอชิงตันประกาศว่า “ญิฮัด จอห์น” ที่เคยปรากฏตัวในคลิปสังหารโหดตัวประกันตะวันตกหลายครั้ง เสียชีวิตแล้ว
กระนั้น จนถึงขณะนี้ อเมริกายังหลีกเลี่ยงการโจมตีอาคารที่รู้กันว่า เป็นศูนย์บัญชาการของไอเอสในรักกาในซีเรียโดยตรง ซึ่งแหล่งข่าววงในอธิบายว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงทำให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก
คงต้องรอดูกันต่อไปว่า วอชิงตันจะดึงดันโจมตีแบบจำกัดต่อไปหรือไม่ และคณะบริหารของโอบามาจะผ่อนคลายกฎการปะทะสำหรับการโจมตีทางอากาศที่สมาชิกรัฐสภาอเมริกันบางส่วนและคนภายนอกระบุว่า จำกัดขอบเขตเกินไปหรือไม่
เจ้าหน้าที่และนักวิเคราะห์ยังสงสัยว่า สหราชอาณาจักรจะขยายการโจมตีทางอากาศและระบบข่าวกรองทางอากาศที่ใช้อยู่ในอิรักไปยังซีเรียหรือไม่
ปัจจุบันลอนดอนยังไม่เข้าร่วมการโจมตีไอเอสในซีเรีย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน กล่าวว่า ต้องการจะดำเนินการลักษณะดังกล่าว ติดตรงที่ถูกรัฐสภาขัดขวาง ดังนั้น คำถามก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับปารีสเมื่อวันศุกร์จะทำให้เหล่าสมาชิกสภาเมืองผู้ดีเปลี่ยนใจได้หรือไม่