เอเจนซีส์ - โรงแรมในชาร์ม เอล-ชีค อย่างน้อย 4 แห่งใช้ที่ตรวจระเบิดปลอม “ไม้ล้างป่าช้า GT-200” ในการตรวจหาวัตถุระเบิด รวมไปถึงกระเป๋าเดินทาง และใต้ท้องรถ เพื่อให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังคงต้องพักต่อในเมืองตากอากาศแห่งนี้ สร้างความวิตกไปทั่ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอังกฤษ ล่าสุดซีอีโอ คาโรลิน แม็กคอล ของสายการบินโลว์คอสต์ “อีซีเจ็ต” ได้ออกมาเตือนถึงระบบความปลอดภัยทุกสนามบินใหญ่ทั่วโลกต้องเพิ่มความเข้มงวด
เดอะมิเรอร์รายงานเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ว่า นักท่องเที่ยวอังกฤษที่ยังต้องพักต่อในโรงแรมในเมืองชาร์ม เอล-ชีคต่างตื่นตระหนก หลังจากที่พบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมใช้ที่ตรวจหาวัตถุระเบิดปลอมที่อาจซุกอยู่ในกระเป๋าเดินทาง หรือใต้ท้องรถ
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับบริษัทท่องเที่ยวและสายการบินต่างระงับการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินราคาถูกไปยังชาร์ม เอล-ชีค
ด้านผู้เชี่ยวชาญทางความมั่นคงและอดีตทหารหน่วยพลร่ม พอล บิดดิสส์ (Paul Biddiss) นักท่องเที่ยวอังกฤษที่ต้องอยู่ในโรงแรมชาร์ม เอล-ชีคต่อได้เปิดเผยว่า “หากสิ่งที่เห็นนั้นเป็นไปตามเช่นนั้นจริง ดังนั้นอุปกรณ์ที่เรียกว่าเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดนี้เป็นของปลอม ไม่ต่างอะไรจากการใช้ช็อกโกแลตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงลุกไหม้ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้ผล”
โดยนักข่าวเดอะมิเรอร์ในชาร์ม เอล-ชีค ระบุว่า เครื่องมือตรวจระเบิดที่ละม้ายกับ “ไม้ล้างป่าช้า GT-200” ของคอนแมน เจมส์ แม็กโคมิก (Conman James McCormick) และเป็นส่วนทำให้เขาถูกพิพากษาจำคุกในอังกฤษ ปี 2013 ข้อหาหลอกลวงขายเครื่องตรวจระเบิดปลอมทั่วโลกนั้น ถูกพบเห็นใช้โดยทั่วไปที่โรงแรมอย่างน้อย 4 แห่งในเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงของอียิปต์แห่งนี้ และนอกจากที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจำนวนหลายร้อยคนยังต้องเข้าพักต่อในโรงแรมที่ชาร์ม เอล-ชีค รวมไปถึงเอกอัคราชทูตอังกฤษประจำอียิปต์ จอห์น แคสสัน (John Casson) ยังคงต้องอาศัยอยู่ที่โรงแรมด้วยเช่นกัน
บิดดิสส์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า “ในระหว่างที่กลุ่มของผมกำลังจะเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ทว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมแห่งนี้กลับใช้อุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิดที่มีเสาอากาศชี้เพื่อค้นหาสิ่งต้องสงสัยที่คาดว่าอาจเป็นระเบิดใต้ท้องรถของพวกผม” และว่า “หากสิ่งที่ว่านี้เป็นเครื่องจับวัตถุระเบิดประเภทเดียวกันจริง ดังนั้นการใช้สิ่งนี้ย่อมไม่สามารถตรวจพบอะไรได้ทั้งนั้น”
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า “การใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ เอาไว้ใช้เพื่อตบตาเท่านั้น แต่หากคาดหวังว่าจะใช้ตรวจวัตถุระเบิดได้จริงก็คงต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมไป”
นอกจากนี้บิดดิสส์ยังกล่าวอีกว่า “สาเหตุที่คนในอิรักจำนวนมากต้องเสียชีวิต เพราะกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงในแบกแดดและเมืองต่างๆใช้อุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิด GT-200 เพื่อหาระเบิด”
และนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 65 ปี เบน ทอมป์สัน (Ben Thompson) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เมื่อผมเห็นพวกเขาใช้เจ้าสิ่งนี้ตรวจหาวัตถุระเบิด ผมรู้สึกเป็นกังวล” และยังกล่าวต่อว่า “ผมจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งในอังกฤษถูกจับกุมเพราะขายอุปกรณ์ที่ตรวจระเบิดไม่ได้ผล”
โฆษกกระทรวงต่างประเทศอังกฤษในชาร์ม เอล-ชีคให้สัมภาษณ์ว่า “ทุกโรงแรมในเมืองชาร์ม เอล-ชีค มีการใช้ทุกขั้นตอนเพื่อทำให้นักท่องเที่ยวปลอดภัย ซึ่งรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิดประเภทที่คล้ายกับการตรวจหาวัตถุระเบิดในสนามบิน เจ้าหน้าที่สุนัขดมกลิ่น การค้นตัว เครื่องตรวจจับโลหะ การรักษาความปลอดภัยส่วนตัว การลาดตระเวนของตำรวจ และการติดตั้งกล้องวงจรปิด”
ในขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศอังกฤษยังให้ความเห็นเพิ่มเติมถึง GT-200 ว่า “ทางเราจะแสดงความกังวลในเรื่องปัญหาการใช้เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดประเภทนี้ให้ทางอียิปต์ได้รับทราบ” และยังเสริมต่อว่าทางอังกฤษจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงระดับการเตือนภัยการเดินทางอากาศไปยังชาร์ม เอล-ชีค และระดับความอันตรายที่จะเกิดขึ้นในรีสอร์ตที่เมืองต่างอากาศแห่งนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
สื่ออังกฤษรายงานว่า สายการบินต้นทุนต่ำอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น โมนาร์ช โทมัส คุก และทอมสันต่างยกเลิกการให้บริการเที่ยวบินไปยังชาร์ม เอล ชีค เริ่มจากตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ไปจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2015
ด้านผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสายการบินโลว์คอสต์ อีซีเจ็ต คาโรลิน แม็กคอล (Carolyn McCall ) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดในวันนี้ (10) กับบีบีซี สื่ออังกฤษ หลังจากเกิดเหตุเมโทรเจ็ตตกว่า สนามบินทั่วโลกตั้งแต่ชาร์ม เอล-ชีค ไปจนถึงมอสโกต้องได้รับการยกระดับในระบบการรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่ และยอมรับว่าการที่กลุ่มก่อการร้ายสามารถนำระเบิดผ่านเข้าสนามบินไปซุกบนเครื่องที่กำลังจะขึ้นเท็กออฟได้ ถือเป็นฝันร้ายที่ทำให้ผู้บริหารสายการบินทั่วโลกนอนไม่หลับ
โดยแม็กคอลยืนยันกับสื่ออังกฤษว่า ถึงแม้ว่าการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณสนามบินจะต้องมีค่าใช้จ่าย และทำให้เกิดความล่าช้ากับผู้โดยสาร แต่ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการ
นอกจากนี้ ซีอีโออีซีเจ็ตที่ได้พบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ฟิลิป แฮมมอนด์ ชี้ว่า ระบบรักษาความปลอดภัยในสนามบินของอังกฤษนั้นรัดกุม และเพียงพอ แต่ทว่าแม็กคอลเห็นตรงกันกับแฮมมอนด์ที่ว่า สนามบินในประเทศอื่นมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ยังหละหลวม
และแม็กคอลยังได้เปิดประเด็นต้องการให้รัฐบาลอังกฤษส่งสัญญาณเตือนนี้ไปยังรัฐบาลอียิปต์เพื่อให้แก้ปัญหาในเรื่องนี้ “ดิฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทางรัฐบาลอังกฤษต้องแจ้งเตือนไปยังอียิปต์เพื่อให้รับทราบว่า ท่าอากาศยานในชาร์ม เอล-ชีค ต้องได้รับการปรับปรุงในระบบรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่” โดยเธอยืนยันว่า ไม่ได้เพ่งเล็งไปที่อียิปต์ “นี่เป็นปัญหาระดับนานาชาติ ไม่ใช่แต่เฉพาะในอียิปต์ หรือในแอฟริกาเหนือเท่านั้น”
แม็กคอลยืนยันว่า การเพิ่มมาตรการระบบรักษาความปลอดภัยนั้นจะไม่ทำให้ผู้โดยสารเครื่องบินไม่ยอมรับ “ดิฉันคิดว่าผู้โดยสารคงจะตอบรับในเรื่องนี้ และบรรดาสายการบินต่างๆจะไม่ปฎิเสธ เพราะไม่มีใครต้องการให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงขึ้น”
สำหรับปัญหาผู้โดยสารตกค้างที่สนามบินชาร์ม เอล-ชีค ซีอีโอโลว์คอสต์อีซีเจ็ตชี้ว่า ในส่วนของผู้โดยสารของอีซีเจ็ตที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับออกมาได้ เธอให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซึ่งแม็กคอลกล่าวว่า ผู้โดยสารของเธอทุกคนจะได้รับความสะดวกสบายในโรงแรมที่ทางสายการบินได้จัดเตรียมไว้ในระหว่างการรอเครื่องกลับอังกฤษ และรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในความดูแลของทางบริษัท
นอกจากนี้ แม็กคอลยังยืนยันว่าภายในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้เธอหวังว่าจะสามารถนำผู้โดยสารที่ตกค้างทุกคนขึ้นเครื่องออกจากชาร์ม เอล-ชีคได้สำเร็จ”