เอเจนซีส์ – ล่าสุดหลังจากเครื่องบินรัสเซียเมโทรเจ็ต A-321 ตกหลังจากออกจากเมืองตากอากาศชาร์ม เอล-ชีค (Sharm El Sheikh) อียิปต์ มีรายงานว่า นักบินอังกฤษสายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์ "ทอมสันแอร์เวยส์"บรรทุกคนบนเครื่องทั้งหมด 198 ชีวิต สามารถขับเครื่องบินหักหลบจรวดมิสไซล์ในระยะห่าง 1,000 ฟุต ได้ภายในเพียงเสี้ยววินาทีสำเร็จ ในขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวอียิปต์ระส่ำหนัก ประเมินยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตก 70% หากนักท่องเที่ยวรัสเซียและอังกฤษหนีหลังข่าวเมโทรเจ็ตถูกก่อการร้าย
เดลีเมล รายงานวันนี้(7)ว่า มีรายงานล่าสุดเปิดเผยในคืนที่ผ่านมาว่า นักบินสายการบินต้นทุนต่ำ "ทอมสันแอร์เวยส์" ที่ขับเครื่องบินโดยสารบรรทุกคนทั้งหมด 198 ชีวิตจากท่าอากาศยานลอนดอน สแตนสเต็ด (London Stansted) สามารถหักหลบจรวดมิสไซล์ได้ทันในช่วงเพียงวินาทีในระยะห่าง 1,000 ฟุต ในขณะที่เครื่องบินกำลังเข้าใกล้เมืองตากอากาศชาร์ม เอล-ชีค (Sharm El Sheikh) อียิปต์
และนักบินชาวอังกฤษผู้นี้สามารถนำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัยหลังจากนั้น แต่ทว่าผู้โดยสารนักท่องเที่ยวทั้งหมดบนเครื่องไม่ไดรับแจ้งว่า เพิ่งผ่านหายนะทางอากาศในเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้
การเปิดเผยล่าสุดของข่าวนักบินทอมสันแอร์เวย์ส ที่ต้องบินหักหลบจรวดมิสไซล์ มีขึ้นหลังจากมีข่าวเปิดเผยล่าสุดว่า กลุ่มก่อการร้าย IS ชาวอังกฤษได้โอ้อวดผ่านโลกออนไลน์ว่า กลุ่มก่อการร้ายสุหนี่ IS ได้ส่งสายลับแฝงตัวเข้าไปภายในท่าอากาศยานชาร์ม อัล-ชีคได้สำเร็จ เกิดขึ้นไม่กี่นาทีหลังจากที่เครื่องบินโดยสารสัญชาติรัสเซียพร้อมคนทั้งหมด 224 ชีวิตตกได้ในวันเสาร์(31ตค.) ซึ่งการสนทนาทางออนไลน์ครั้งนี้ถูกหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯตรวจพบ รายงานจากหนังสือพิมพ์อังกฤษ เดอะซัน
แหล่งข่าวสหรัฐฯเปิดเผยกับเดอะซันเพิ่มเติมต่อว่า จากการสนทนาออนไลน์ของกลุ่มก่อการร้าย IS ทำให้ชี้ได้ว่า อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวของนักรบญิฮัด IS ที่แฝงตัวอยู่ในท่าอากาศยานอียิปต์แห่งนี้
ด้าน NBC News สื่อสหรัฐฯรายงานว่า แหล่งข่าวสหรัฐฯเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกันสามารถดักฟังการสนทนาของบรรดาแกนนำก่อการร้ายที่อ้างว่า ประสบความสำเร็จในการทำให้เครื่องบินโดยสารรัสเซียตกได้เหนือคาบสมุทรไซนาย อียิปต์
ทั้งนี้แกนนำ IS ในเมืองรักกา และซีเรีย ต่างพูดคุยถึงกลุ่มเครือข่ายก่อการร้ายบนคาบสมุทรไซนายที่ประสบความสำเร็จทำให้เมโทรเจ็ตตก และได้พูดคุยถึงวิธีการที่ทางกลุ่มก่อการร้ายบนไซนายได้กระทำลงไป
นอกจากนี้ในการให้ข้อมูลยังเปิดเผยว่า ในการดักฟังครั้งนี้ แกนนำก่อการร้าย IS ยังส่งสัญญาณเตือนว่า อาจมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณภูมิภาคนี้ก่อนการตก
เดลีเมลรายงานต่อว่า กระทรวงคมนาคมอังกฤษได้ออกมายืนยันข่าวเครื่องบินต้นทุนทอมสันสามารถบินหักหลบจรวดมิสไซล์ว่าเป็นความจริง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2015 เกิดก่อนเครื่องบินเมโทรเจ็ตตก 2 เดือน
แหล่งข่าวคนแรกกล่าวว่า ในขณะนั้นนักบินที่ 2 กำลังบังคับเครื่องอยู่ แต่ทว่ากัปตันของเครื่องบินเที่ยวนี้ที่อยู่ภายในห้องคนขับสังเกตจรวดมิสไซล์กำลังวิ่งเข้ามาหาตัวเครื่อง และทำให้กัปตันต้องรีบออกคำสั่งให้หันเครื่องบินหลบไปทางซ้ายทันทีเพื่อไม่ให้มิสไซล์ที่อยู่ในระยะห่าง 1,000 ฟุตพุ่งชน
และแหล่งข่าวเปิดเผยต่อว่า มีเพียงเจ้าหน้าที่ 5 คนบนเครื่องเท่านั้นที่รับรู้เหตุการณ์นี้หลังจากเครื่องบินเที่ยวนี้ได้ลงจอดอย่างปลอดภัย ซึ่งลูกเรือของสายการบินทอมสันแอร์เวย์สที่กำลังอยู่ในความตกใจได้รับขออนุญาตให้พักผ่อนอยู่ในอียิปต์ต่อในคืนนั้น แต่คนทั้งหมดเลือกที่จะบินตรงกลับอังกฤษทันทีในเที่ยวบินที่ไม่มีการเปิดไฟภายและไฟภายนอกให้เบื้องล่างภาคพื้นได้รับรู้
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า จรวดมิสไซล์ที่บินพุ่งเข้ามายังสายการบินทอมสันแอร์เวย์ส ถูกนักบินสายการบินอื่นที่อยู่ในละแวกชาร์ม เอล-ชีคสังเกตพบเห็นเช่นกัน “ลูกเรือได้รับการบอกเล่าว่า จรวดมิสไซล์ที่เห็นเป็นของกองทัพอียิปต์อยู่ในระหว่างการซ้อมรบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าหวาดกลัว และทำให้ลูกเรือตกอยู่ในอาการขวัญผวา”
เดลีเมลรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ในกลางดึกคืนที่ผ่านมา สายการบินทอมสันแอร์เวย์สได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ผ่านแถลงการณ์ว่า “ทางทอมสันสามารถยืนยันได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากตามรายงานที่ได้รับจากลูกเรือของเที่ยวบิน TOM 476 ในวันที่ 23 สิงหาคม 2015”
และแถลงการณ์ทอมสันแอร์เวย์สยังกล่าวต่อว่า “และหลังจากที่เครื่องบินเที่ยวนี้ได้ลงจอดที่ท่าอากาศยานชาร์ม เอล-ชีค สำเร็จ ทางสายการบินได้มีการตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้นที่เกิดขึ้นทันที และได้รายงานเหตุการณ์นี้ไปยังกระทรวงคมนาคมอังกฤษ (DfT) ซึ่งต่อมาทาง DfT ได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญส่วนต่างๆของรัฐบาลอังกฤษในการสอบสวน แต่หลังจากนั้นมีรายงานสรุปว่า ไม่มีสิ่งที่ต้องทำให้เกิดความวิตก และยังคงปลอดภัยสำหรับทางบริษัทสายการบินทอมสันแอร์เวย์สจะยังคงให้บริการในเส้นทางการบินนี้ต่อไปยังชาร์ม เอล- ชีค”
สื่ออังกฤษชี้ว่า อย่างไรก็ตามรายละเอียดถึงระดับเพดานบิน ตำแหน่งของเครื่องบินในเวลานั้น และเวลาที่แน่นอนในการถูกจรวดมิสไซล์ยิงเข้ามา ยังคงไม่ได้รับการเปิดเผย
ซึ่งโฆษกรัฐบาลอียิปต์ให้สัมภาษณ์ว่า “เราได้ตรวจสอบรายงานสอบสวนเหตุการณ์ในครั้งนั้น และสรุปว่าเครื่องบินโดยสารอังกฤษไม่ได้ตกเป็นเป้าโจมตี โดยอ้างอิงจากช่วงระยะเวลาการฝึกตามตารางของกองทัพอียิปต์ที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น”
ในขณะที่โมฮาเหม็ด ยูเซฟ ( Mohamed Yousef)ที่ปรึกษารัฐมนตรีการท่องเที่ยวอียิปต์ ได้แสดงความวิตกถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแดนอัยคุปว่า อาจจะดิ่งถึง 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาเยือนอียิปต์ หากนักท่องเที่ยวอังกฤษและนักท่องเที่ยวรัสเซียไม่กลับเข้ามาหลังจากเกิดเหตุเครื่องบินโดยสารรัสเซียตก
โดย RT รายงานเพิ่มเติมในวันนี้(7)ว่า ตัวเลขอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอียิปต์มีผลกระทบต่อ GDP แดนอัยคุปถึง 11%
ยูเซฟกล่าวให้สัมภาษณ์จากการรายงานของหนังสือพิมพ์อียิปต์ อัล ฮาห์รัม( Al Ahram) ว่า “นักท่องเที่ยวรัสเซียถือเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนมากที่สุดมีจำนวนถึง 3 ล้านคนต่อปี และนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษมีจำนวน 1 ล้านคนต่อปี” และยังเสริมต่อว่า “หากนักท่องเที่ยวทั้งสองชาตินี้ไหลออกและไม่กลับเข้ามา จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอียิปต์ ซึ่งจะคาดว่าสูงถึง 70% ของยอดจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด”
และหากเกิดขึ้นตามการคาดการณ์นี้ จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออัตราการเติบโตของประเทศ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคิดเป็นสันส่วน 11.3% ของ GDP รวม
สื่อรัสเซียรายงานว่า คำแถลงของยูเซฟเกิดขึ้นท่ามกลางโลกตะวันตกต่างแข่งกันประกาศระงับเที่ยวบินไปและกลับอียิปต์หลังจากเครื่องบินเมโทรเจ็ต A-321 ตกในไซนายเหนือ
ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอียิปต์ตกอย่างร้ายแรง หลังเกิดภาวะความตรึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศ
ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุโศกนาฎกรรมเมโทรเจ็ต อียิปต์ตั้งความหวังที่จะเห็นยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนจำนวน 10 ล้านคน และคาดว่าตัวเลขในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะสามารถสร้างรายได้ถึง 8 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
RIA Novosti รายงานว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปในอียิปต์ในเดือนสิงหาคมราว 6.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา