รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียในวันศุกร์ (6 พ.ย.) สั่งระงับเครื่องบินโดยสารของรัสเซียที่มีกำหนดมุ่งหน้าไปยังอียิปต์ทุกเที่ยวบิน จนกว่าจะได้ข้อสรุปสาเหตุเครื่องบินของสายการบินเมโทรเจ็ตโหม่งโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่อังกฤษประสบปัญหาในการขนพลเมืองกลับจากชาร์ม เอล-ชีค เนื่องจากทางการไคโรอนุญาตให้ขึ้นบินแค่ 8 เที่ยวเท่านั้น
การตัดสินใจของนายปูติน เป็นการตอบสนองต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส เอ 321 ของสายการบินเมโทรเจ็ตหรือโคกาลิมอาเวียเหนือคาบสมุทรไซนายของอียิปต์เมื่อวันเสาร์ (31 ต.ค.) คร่าชีวิตยกลำ 224 ศพ ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังมีขึ้นหลังจากอังกฤษและไอร์แลนด์ สั่งระงับเที่ยวบินทั้งขาเข้าและออกจากชาร์ม เอล-ชีค ดินแดนตากอากาศ ซึ่งเป็นต้นทางของเที่ยวบินที่ตกในแถบคาบสมุทรไซนาย นับเป็นสัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่ามอสโกเริ่มเชื่อในทฤษฎีที่ว่าพวกนักรบอิสลามิสต์อาจนำระเบิดไปซุกบนเครื่องบินด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง
คำสั่งของปูติน มีขึ้นหลังจากนายอเล็กซานเดอร์ บอร์ทนิคอฟ หัวหน้าหน่วยความมั่นคง FSB ของรัสเซีย แนะนำให้ระงับเที่ยวบินโดยสารทุกเที่ยวที่มุ่งหน้าสู่อียิปต์จนกว่าจะทราบสาเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรม “ท่านประธานาธิบดีเห็นด้วยกับคำแนะนำนี้” สำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์ อ้างคำกล่าวของดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของปูติน “ปูตินมอบภารกิจแก่รัฐบาลให้หากลไกทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการต่อต้านก่อการร้ายแห่งชาติและเพื่อรับประกันการคืนสู่มาตุภูมิของพลเรือนรัสเซีย”
นายเปสคอฟเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีปูตินยั่งสั่งการให้รัฐบาลหารือกับเจ้าหน้าที่อียิปต์เพื่อหาทางรับประกันความปลอดภัยของเที่ยวบินต่างๆ
เครือข่ายของพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในไซนาย ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุเครื่องบินรัสเซียตก ซึ่งหากได้รับการยืนยัน มันจะเป็นครั้งแรกที่องค์กรญิฮัดกลุ่มนี้โจมตีเครื่องบินพลเรือน
ก่อนหน้าที่จะเกิดความเคลื่อนไหวของปูตินในช่วงบ่ายวันศุกร์ (6 พ.ย.) รัสเซียย้ำมาตลอดว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงต้นตอของโศกนาฏกรรมและการสืบสวนอย่างเป็นทางการควรตรวจสอบทุกสมมุติฐาน ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ของการเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค
อียิปต์คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวรัสเซีย ดังนั้น การตัดสินใจระงับเที่ยวบินจะก่อปัญหาด้านการขนส่งใหญ่หลวงแก่เหล่าสายการบินแดนหมีขาวและทำนักท่องเที่ยวตกค้าง
ในวันพุธ (4 พ.ย.) อังกฤษ และไอร์แลนด์ ระงับเที่ยวบินทั้งขาเข้าและออกจากชาร์ม เอล-ชีค ตามหลังเครื่องบินโดยสารรัสเซียโหม่งโลก เมื่อวันเสาร์ (31 ต.ค.) ท่ามกลางข้อสงสัยจากอังกฤษและวอชิงตันว่ามันถูกวางระเบิดจากกลุ่มก่อการร้ายที่ภักดีต่อรัฐอิสลาม (ไอเอส) และความกังวลที่มีต่อระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานเมืองตากอากาศแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอังกฤษได้แถลงในวันพฤหัสบดี (5 พ.ย.) เที่ยวบินต่างๆ ที่จะนำพลเมืองกลับจากเมืองตากอากาศแห่งนี้จะกลับมาให้บริการอีกครั้ง ทว่าล่าสุดความพยายามนำพลเมืองหลายหมื่นคนกลับประเทศ ต้องประสบความยุ่งเหยิงในวันศุกร์ (6 พ.ย.) เหตุถูกอียิปต์ปรับลดจำนวนเที่ยวบินที่ได้รับอนุญาตเดินทางออกจากชาร์ม เอล-ชีค
อังกฤษ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวอยู่ในชาร์ม เอล-ชีค ราว 20,000 คน วางแผนไว้ว่าจะพาบางส่วนกลับจากเมืองตากอากาศในวันศุกร์ (6 พ.ย.) โดยจะอนุญาตให้นำเฉพาะกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง สืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย แต่แผนดังกล่าวถูกโยนเข้าสู่ความสับสน ด้วยอียิปต์เผยว่ามีเพียง 8 จากทั้งหมด 29 เที่ยวบินเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน
ฮอสซัม คามาล รัฐมนตรีการบินพลเรือนของอียิปต์ บอกว่าปฏิบัติการพานักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจำนวนมากออกจากโรงแรมไปยังสนามบินและนำพวกเขาขึ้นเครื่องโดยปราศจากกระเป๋าสัมภาระ กลายเป็นภาระใหญ่หลวงของท่าอากาศยาน เพราะทางสนามบินไม่มีขีดความสามารถดำเนินการเช่นนั้น
“เราขอพวกเขาให้จัดไว้เพียง 8 เที่ยวบินและเครื่องบินอีกลำจะขนส่งกระเป๋าสัมภาระ” เขากล่าว พร้อมระบุว่าสนามบินไม่มีที่ว่างมากพอที่จะจัดเก็บกระเป๋าสัมภาระมากกว่า 120 ตันที่ผู้โดยสารขาออกทิ้งเอาไว้ ด้านโฆษกของนายคาเมรอน บอกว่าอังกฤษจะพยายามพานักท่องเที่ยวกลับบ้านให้เร็วที่สุดและอย่างปลอดภัย แต่บรรยายสถานการณ์ว่า “ยากลำบาก”