รัสเซียและอียิปต์ออกมาติติงในวันพฤหัสบดี (5 พ.ย.) ว่าอย่ารีบคาดเดาด่วนสรุป หลังเจ้าหน้าที่อเมริกันและอังกฤษระบุ เชื่อว่าเครื่องบินของสายการบินแดนหมีขาวซึ่งทะยานขึ้นจากเมืองชาร์ม-เอล ชีค เมืองตากอากาศในทะเลแดงของแดนไอยคุปต์ แล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศเหนือคาบสมุทรไซนายในวันเสาร์ (30 ต.ค.) ที่ผ่านมานั้น ถูกผู้ก่อการร้ายลอบวางระเบิด
สำนักข่าวหลายแห่งเช่น เอเอฟพี อ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อเมริกันเมื่อวันพุธ (4) ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่า ระเบิดเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องแอร์บัส 321 ของสายการบิน “โคกาลีมาเวีย” หรือ “เมโทรเจ็ต” ของรัสเซีย โหม่งโลกพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 224 ชีวิต ซึ่งหากเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จะถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มก่อการร้ายนี้โจมตีเครื่องบินโดยสาร
เจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างว่า ได้เบาะแสจากการดักฟังการสื่อสารซึ่งสรุปว่า กลุ่มก่อการร้ายในคาบสมุทรไซนายซึ่งประกาศจงรักภักดีต่อ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) แอบซ่อนระเบิดไว้ในเครื่องบินลำดังกล่าว และยังบอกอีกว่า การวิเคราะห์ข้อมูลที่ดักฟังได้ทำให้เชื่อว่า ปฏิบัติการนี้ทางกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ในไซนายเป็นผู้ลงมือดำเนินการอย่างอิสระ ไม่ใช่มาจากคำสั่งของผู้นำไอเอสในซีเรีย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อเมริกันที่ให้ข่าวรวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เสริมว่า ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการจากสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) หรือหน่วยข่าวกรองอื่นๆ อีกทั้งยังต้องทำการวิเคราะห์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ ซึ่งรวมถึงกล่องดำ นอกจากนั้น ยังเป็นไปได้ว่า อาจมีการตีความการสื่อสารที่ดักฟังได้อย่างผิดพลาด และสุดท้ายหลักฐานทั้งหมดอาจได้ข้อสรุปว่า เครื่องบินไม่ได้ถูกโจมตีด้วยระเบิด
ทางด้านสำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษแถลงในวันเดียวกันว่า จากข้อมูลที่ค่อยๆ กระจ่างขึ้น อังกฤษจึงกังวลมากขึ้นว่า เครื่องบินพาณิชย์ของรัสเซียลำดังกล่าวถูกโจมตีด้วยระเบิด และผู้นำอังกฤษและอียิปต์เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสนามบินชาร์ม เอล-ชีค โดยอังกฤษได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปประเมินความปลอดภัยในสนามบินดังกล่าวแล้ว
ทางด้านมอสโกและไคโรต่างแสดงความไม่เชื่อถือข้อมูลเหล่านี้ รัฐมนตรีการบินพลเรือนของอียิปต์ ฮัสซัม คามาล ได้ออกมาแถลงในวันพุธ (4) ว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่สอบสวนยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ ซึ่งยืนยัน “ทฤษฎี” ว่ามีการลอบวางระเบิดบนเครื่องบินดังกล่าว
ทางการอียิปต์นั้นมีความพยายามอย่างเห็นได้ชัดว่ามุ่งลดน้ำหนักกระแสความเป็นไปได้ที่ว่า มีการโจมตีเครื่องบินด้วยระเบิด และย้ำความจำเป็นในการรอผลการสอบสวนของทีมสอบสวนนานาชาติ ทั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอียิปต์ที่ยังไม่ฟื้นคืนดี ภายหลังได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตการเมืองภายในประเทศ
สำนักข่าวหลายแห่งเช่น เอเอฟพี อ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อเมริกันเมื่อวันพุธ (4) ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่า ระเบิดเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องแอร์บัส 321 ของสายการบิน “โคกาลีมาเวีย” หรือ “เมโทรเจ็ต” ของรัสเซีย โหม่งโลกพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 224 ชีวิต ซึ่งหากเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จะถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มก่อการร้ายนี้โจมตีเครื่องบินโดยสาร
เจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างว่า ได้เบาะแสจากการดักฟังการสื่อสารซึ่งสรุปว่า กลุ่มก่อการร้ายในคาบสมุทรไซนายซึ่งประกาศจงรักภักดีต่อ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) แอบซ่อนระเบิดไว้ในเครื่องบินลำดังกล่าว และยังบอกอีกว่า การวิเคราะห์ข้อมูลที่ดักฟังได้ทำให้เชื่อว่า ปฏิบัติการนี้ทางกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ในไซนายเป็นผู้ลงมือดำเนินการอย่างอิสระ ไม่ใช่มาจากคำสั่งของผู้นำไอเอสในซีเรีย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อเมริกันที่ให้ข่าวรวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เสริมว่า ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการจากสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) หรือหน่วยข่าวกรองอื่นๆ อีกทั้งยังต้องทำการวิเคราะห์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ ซึ่งรวมถึงกล่องดำ นอกจากนั้น ยังเป็นไปได้ว่า อาจมีการตีความการสื่อสารที่ดักฟังได้อย่างผิดพลาด และสุดท้ายหลักฐานทั้งหมดอาจได้ข้อสรุปว่า เครื่องบินไม่ได้ถูกโจมตีด้วยระเบิด
ทางด้านสำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษแถลงในวันเดียวกันว่า จากข้อมูลที่ค่อยๆ กระจ่างขึ้น อังกฤษจึงกังวลมากขึ้นว่า เครื่องบินพาณิชย์ของรัสเซียลำดังกล่าวถูกโจมตีด้วยระเบิด และผู้นำอังกฤษและอียิปต์เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสนามบินชาร์ม เอล-ชีค โดยอังกฤษได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปประเมินความปลอดภัยในสนามบินดังกล่าวแล้ว
ทางด้านมอสโกและไคโรต่างแสดงความไม่เชื่อถือข้อมูลเหล่านี้ รัฐมนตรีการบินพลเรือนของอียิปต์ ฮัสซัม คามาล ได้ออกมาแถลงในวันพุธ (4) ว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่สอบสวนยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ ซึ่งยืนยัน “ทฤษฎี” ว่ามีการลอบวางระเบิดบนเครื่องบินดังกล่าว
ทางการอียิปต์นั้นมีความพยายามอย่างเห็นได้ชัดว่ามุ่งลดน้ำหนักกระแสความเป็นไปได้ที่ว่า มีการโจมตีเครื่องบินด้วยระเบิด และย้ำความจำเป็นในการรอผลการสอบสวนของทีมสอบสวนนานาชาติ ทั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอียิปต์ที่ยังไม่ฟื้นคืนดี ภายหลังได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตการเมืองภายในประเทศ