เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ – สมาชิกกองกำลังความมั่นคงของโคลอมเบีย จำนวน 12 นายเสียชีวิต จากการถูกดักซุ่มยิงโดยกลุ่มกบฏ “กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ” ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ
หลุยส์ การ์โลส บิเญกัส รัฐมนตรีกลาโหมของโคลอมเบีย ออกมาแถลงข่าวการสูญเสียดังกล่าวด้วยตัวเองที่กรุงโบโกตา โดยระบุ เหตุซุ่มยิงดังกล่าวได้คร่าชีวิตสมาชิกกองกำลังความมั่นคงของโคลอมเบียไป 12 นายซึ่งประกอบด้วยทหารจำนวน 11 นาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 1 นาย ขณะที่กองกำลังความมั่นคงของโคลอมเบียกำลังปฏิบัติภารกิจขนส่งหีบ-บัตรเลือกตั้ง สำหรับใช้ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมโคลอมเบียระบุว่า จุดที่สมาชิกกองกำลังความมั่นคงของตนถูกซุ่มโจมตีนั้น คือ เขตภูเขาใกล้กับเมืองกิกัน ในจังหวัดโบยากา ทางภาคกลางของประเทศ
จนถึงขณะนี้ ข้อมูลข่าวกรองของทางการโคลอมเบียระบุว่า กลุ่มที่ลงมือซุ่มโจมตีกองกำลังความมั่นคงในครั้งนี้ คือ “กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ” หรือกลุ่มกบฏ “ELN”ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า นอกจากเจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลโคลอมเบียจะถูกสังหารไป 12 นายแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ 3 นายได้รับบาดเจ็บ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 5 นายซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเลือกตั้งกลางของโคลอมเบีย 2 คนได้หายตัวไป หลังเหตุซุ่มยิงสงบลง และคาดว่าทั้งหมดอาจถูกพวกกบฏลักพาตัวไป
ด้านประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลอมเบีย ออกโรงประณามกลุ่มกบฏ ELN ที่ลงมือก่อเหตุอุกอาจในครั้งนี้ และว่า ทางกลุ่มไม่มีวันได้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองเพื่อสร้างอำนาจต่อรองใดๆ กับรัฐบาล หากยังใช้การก่อความรุนแรงเป็นเครื่องมือเช่นนี้ โดยผู้นำโคลอมเบียได้สั่งการให้กองทัพยกระดับปฏิบัติการทางทหารเพื่อกวาดล้างกลุ่มกบฏนี้ให้สิ้นซากด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มกบฏ ELN ซึ่งมีกำลังพลราว 2,000 คน ได้จับอาวุธทำสงครามกองโจรต่อสู้กับรัฐบาลโคลอมเบียมาตั้งแต่ปี 1964 และถือเป็นกลุ่มกบฏที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศรองจากกองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย หรือกลุ่มกบฏ “FARC” ที่ยอมเปิดเจรจาสันติภาพกับฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน
ข้อมูลของทางการโคลอมเบียระบุว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปี หรือครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การสู้รบระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียกับกลุ่มกบฏต่างๆ ภายในประเทศได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 220,000 ราย ขณะที่ประชาชนอีกหลายล้านคนต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเรือนของตน