เอเอฟพี/เอเจนซีส์– หลังจากเครื่องบินรบเวเนซุเอลาบินจำนวน 2 ลำบินล่วงล้ำน่านฟ้าโคลอมเบียในบ่ายวันเสาร์(12)บริเวณ Alta Guajira ทางเหนือของประเทศซึ่งติดกับพรมแดนเวเนซุเอลา หลังจากประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร สั่งปิดพรมแดนก่อนหน้านั้น และทำให้ล่าสุดในวันจันทร์(14) โคลอมเบียประกาศจะยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการ และหลังจากองค์การสหประชาชาติออกรายงานตัวเลขผู้อพยพชาวโคลอมเบียกลับประเทศราว 18,000 คน พบว่ามีประชาชนโคลอมเบียบางส่วน แอบสวมรอยอ้างตัวเป็นผู้ถูกคาราคัสขับออกนอกประเทศ หวังได้รับสวัสดิการความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีโคลอมเบีย
กระทรวงกลาโหมโคลอมเบียออกแถลงการณ์รายงานว่า เครื่องบินรบเวเนซุเอลาจำนวน 2 ลำได้ล่วงล้ำน่านฟ้าโคลอมเบียเข้าไปยังบริเวณ Alta Guajira ทางเหนือของประเทศติดพรมแดนเวเนซุเอลาในบ่ายวันเสาร์(12)
ซึ่งมีรายงานว่า เครื่องบินรบสัญชาติเวเนซุเอลาได้ล่วงล้ำเข้าน่านฟ้าโคลอมเบียไปราว 3 กม. และบินผ่านเหนือที่ตั้งทางทหาร
แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมโคลอมเบียไม่ได้ระบุถึงประเภทของอากาศยานรบเวเนซุเอลาที่ล่วงล้ำน่านฟ้า
เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า คาราคัสกลับโต้ข้อกล่าวหาว่า ทางโบโกตาสร้างสถานการณ์เพื่อบั่นทอนการพบปะระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสองในการแก้ปัญหาบาดหมางระหว่างสองชาติที่นำมาสู่การสั่งปิดพรมแดนของเวเนซุเอลา
“ไม่มีหลักฐานยืนยันการล่วงล้ำน่านฟ้าของเครื่องบินรบเวเนซุเอลาในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ดูเหมือนสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดการพบปะกันระหว่างผู้นำทั้งสองชาติ” รัฐมนตรีต่างประเทศเวเนซุเอลา เดลซี โรดริเกวซ (Delcy Rodriguez) แถลงผ่านทวิตเตอร์
และโรดริเกวซแถลงต่อว่า “เรารู้สึกกังวลต่อแนวโน้มที่รัฐบาลโคลอมเบียสร้างสถานการณ์ขึ้นซึ่งกระทบต่อความสัมพันธ์”
และก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์(13) ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ฮวน มานูเอล ซานโตส แถลงว่า “ผมได้สั่งการให้กระทรวงต่างประเทศโคลอมเบียและกระทรวงกลาโหมให้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ในการที่เวเนซุเอลาละเมิดน่านฟ้า”
เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านั้นในวันเกิดเหตุ กระทรวงต่างประเทศเวเนซุเอลาและโคลอมเบียได้มีการหารือเพื่อพยายามหาข้อสรุป ซึ่งพบว่าถึงแม้ทั้งสองชาติจะสามารถตกลงกันได้ที่จะเริ่มให้มีการติดต่อการทูตต่อกันอีกครั้งหลังจากที่ได้มีการประกาศสั่งถอนเอกอัคราชทูตประจำประเทศคู่กรณี
แต่ทว่าในการหารือในวันเสาร์(12)กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองชาติยังไม่สามารถหาข้อตกลงในการจัดการหารือระดับทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา และประธานาธิบดี ฮวน มานูเอล ซานโตส แห่งโคลอมเบียได้
เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า โรดริเกวซ ได้อ้างว่ามาดูโรได้ตอบรับข้อเสนอในการหารือฉุกเฉินระดับทวิภาคีกับผู้นำโคลอมเบียแล้วเพื่อต้องการปรึกษาถึงวิกฤตทางมนุษยธรรมของผู้อพยพชาวโคลอมเบีย และอาชญากรรมข้ามพรมแดน
ก่อนหน้านี้ มาดูโรได้สั่งขับชาวโคลอมเบียจำนวน 1,500 คน ที่อาศัยในเวเนซุเอลาอย่างผิดกฏหมายนับตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤต และเป็นผลทำให้ชาวโคลอมเบียที่อาศัยอยู่ในเวเนซุเอลาโดยปราศจากหนังสือเดินทางเกรงการถูกส่งตัวกลับ ต่างพร้อมใจยอมเดินข้ามแม่น้ำ ย้ายกลับประเทศบ้านเกิด
ซึ่งการระหองระแหงระหว่างโบโกตาและคาราคัสมีขึ้นนับตั้งแต่มาดูโรประกาศสั่งปิดพรมแดนตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยกล่าวโทษกลุ่มติดอาวุธโคลอมเบียเป็นผู้โจมตีกลุ่มทหารลาดตระเวนเวเนซุเอลาในปฎิบัติการต่อต้านขบวนการขนสินค้าหนีภาษี
และนอกจากนี้มาดูโรยังกล่าวอ้างว่า โบโกตาอยู่เบื้องหลังต้องการทำสงครามบ่อนทำลายเศรษฐกิจเวเนซุเอลา โดยโยงไปถึงขบวนการลักลอบนำสินค้าในประจำวันราคาถูกของฝั่งเวเนซุเอลาที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แอบลักลอบนำข้ามแดนไปยังโคลอมเบีย
และในอีกด้านหนึ่งของวิกฤตความสัมพันธ์ของสองชาติ สื่อ telesurtv ได้รายงานในวันนี้(14)ว่า จากตัวเลขจำนวนชาวโคลอมเบียอพยพออกจากเวเนซุเอลากลับประเทศบ้านเกิดในรายงานขององค์การสหประชาชาติที่เปิดเผยในวันอาทิตย์(13)มีจำนวนราว 18,000 คน มีสาเหตุจากเกรงการถูกส่งตัวกลับของคาราคัส
แต่กลับพบว่า มีประชาชนชาวโคลอมเบียบางส่วนกลับ “แอบสวมรอยว่าเป็นผู้ถูกส่งตัวกลับจากเวเนซุเอลา” เพื่อขอรับความช่วยเหลือตามที่ซานโตสเคยประกาศไว้ในเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินช่วยเหลือ หรือการเสนองานให้ทำ
ทั้งนี้สื่อ telesurtv รายงานว่า สถานการณ์มีความสลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นในเมืองกูกูตา(Cucuta) โคลอมเบีย เมื่อ โดนามาริซ รามิเรซ (Donamaris Ramirez) นายกเทศมนตรีได้ออกคำสั่งให้ต้องมีการแสดงบัตรประจำตัวเวเนซุเอลาที่ทางคาราคัสออกเพื่อจับจ่ายในซุปเปอร์มาร์เกตในเวเนซุเอลาก่อนที่จะมอบสวัสดิการความช่วยเหลือให้กลุ่มประชาชนโคลอมเบียที่ย้ายกลับมาในประเทศ
ซึ่งในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ พบว่ามีชาวโคลอมเบียร่วม 100 คนแฝงตัวเป็นเหยื่อผู้อพยพกลับประเทศ พยายามจะเข้าสวมสิทธิ์รับความช่วยเหลือในเมือง Maria Auxiliadora ติดกับเมืองกูกูตา
แต่อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่างกล่าวว่า เป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะตรวจสอบว่า มีใครบ้างเป็นผู้ที่เข้าข่ายการได้รับสิทธิความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
