กมธ.วุฒิสภาลงมติเห็นชอบ ญี่ปุ่นใกล้ผ่านกฎหมายส่งทหารไปรบในต่างแดน

รอยเตอร์ - ญี่ปุ่นเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ก.ย.) คืบหน้าไปอีกหนึ่งก้าวในการมุ่งหน้าสู่การออกกฎหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่จะเปิดทางให้ทหารแดนปลาดิบร่วมรบในต่างแดนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนหนึ่งในวาระของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ที่ต้องการผ่อนคลายข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพ

การปรับเปลี่ยนนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งนายอาเบะบอกว่ามีความสำคัญคือการรับมือกับความท้าทายต่างๆ อย่างเช่นการผงาดขึ้นมาของจีน ได้กระพือการประท้วงบนท้องถนนและฉุดคะแนนนิยมของเขาลดลงอย่างฮวบฮาบ ด้วยฝ่ายคัดค้านมองว่ามันเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญและเกรงว่าญี่ป่นจะติดบ่วงความขัดแย้งต่างๆ ที่นำโดยสหรัฐฯ

นายมาชาฮิซา ซาโต สมาชิกพรรครัฐบาล “ลิเบอรัล เดโมแครต” ให้สัมภาษณ์กับเอ็นเอชเค สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐว่าคณะกรรมาธิการวุฒิสภาลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายนี้ ตามหลังการประชุมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ ซึ่งทาง ส.ส.ฝ่ายค้านพยายามใช้กำลังขัดขวางการลงคะแนน โดยบอกว่ามติดังกล่าวมิอาจยอมรับได้

กลุ่มก้อนรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอาบะ ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาเต็มคณะ แต่พรรคฝ่ายค้านประกาศจะใช้กลยุทธ์เตะถ่วงพยายามขัดขวางไม่ให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบก่อนที่จะปิดสมัยประชุมในวันที่ 27 กันยายนนี้

ผู้ประท้วงหลายพันคนชุมนุมใกล้รัฐสภาในวันพุธ (16 ก.ย.) ตะโกนขอให้คว่ำร่างกฎหมายนี้และเรียกร้องนายอาเบะลาออก และพวกเขาก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพหัสบดี (17 ก.ย.)

การปรับแก้กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการสิ้นสุดข้อห้ามอายุกว่า 1 ทศวรรษสำหรับเข้าปกป้องประเทศพันธมิตรที่ถูกโจมตีหรือเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันตนเองยามที่ญี่ป่นต้องเผชิญกับภัยคุกคามความอยู่รอด

มาตรการนี้ยังขยายขอบเขตส่งกำลังบำรุงทางทหารแก่พันธมิตรใกล้ชิดอย่างสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ และสำหรับเข้าร่วมรักษาสันติภาพ

สหรัฐฯ ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายนี้ของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน ซึ่งกังวลต่อพฤติกรรมของจีนที่เคลื่อนไหวสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตนเองเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่พิพาทในทะเลจีน

ส่วน ปักกิ่ง ซึ่งยังคงขุ่นเคืองอย่างสูงต่อการรุกรานอย่างโหดเหี้ยมของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มองว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้สถานการณ์ความมั่นคงของภูมิภาคยุ่งยากซับซ้อน

นายอาเบะประกาศเดินหน้าเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านความมั่นคง แม้ผลสำรวจต่างๆ พบว่าผู้มีสิทธิ์ออกเสียงส่วนใหญ่ต้องการคำอธิบายที่ดีกว่านี้ว่าทำไมถึงจำเป็นต้องออกกฎหมายดังกล่าว