เอพี – ตำรวจปราบจลาจลฟิลิปปินส์สกัดไม่ให้กลุ่มผู้ประท้วงนักศึกษาฟิลิปปินส์แนวคิดการเมืองเอียงซ้ายบุกประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯในฟิลิปปินส์ และมีบางส่วนสามารถเล็ดลอดไปสาดสีแดงบนป้ายโลหะที่มีข้อความ “สถานทูตสหรัฐอเมริกา” ที่อยู่ด้านหน้าได้สำเร็จในรุ่งเช้าวันพุธ(16) และทำให้มีผู้ประท้วงจำนวน 6 คน ถูกจับกุม ซึ่งทางกลุ่มผู้ประท้วงประกาศจุดยืนไม่ต้องการให้กองกำลังสหรัฐฯที่มีทั้งเครื่องบินรบ และเรือบรรทุกเครื่องบินปรากฎอยู่ในอาณาบริเวณของประเทศ
เอพีรายงานวันนี้(16)ว่า ตำรวจปราบจลาจลฟิลิปปินส์ได้จับกุมผู้อประท้วงอย่างน้อยจำนวน 6 คน หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงที่เป็นนักศึกษาที่มีแนวคิดทางการเมืองเอียงซ้ายราว 50 คนประท้วงบริเวณด้านหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำฟิลิปปินส์ในกรุงมานิลาวันนี้(16)
และจากการให้ข้อมูลของพยานในเหตุการณ์และจากภาพข่าวพบว่า มีผู้ประท้วงบางส่วนถูกตำรวจทำร้ายทุบตีด้วยโล่ แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าถึงแม้บรรดากลุ่มผู้ประท้วงจะถูกล้อมวง แต่ทว่ายังสามารถเล็ดลอดไปสาดสีแดงบนป้ายโลหะหน้าสถานทูตที่มีข้อความ “สถานทูตสหรัฐอเมริกา” ที่อยู่ด้านหน้าได้สำเร็จในตอนเช้า จากการที่นักศึกษาบางส่วนปลอมตัวเป็นนักวิ่งออกกำลังกายช่วงเช้า
เอพีรายงานว่า กลุ่มนักศึกษาผู้ประท้วงเหล่านี้ที่มาจากองค์กรนักศึกษาฟิลิปปินส์ (League of Filipino Students) ได้ถือป้ายประท้วงข้อความ “กองกำลังสหรัฐฯต้องออกไปเดี่ยวนี้” เพื่อต้องการประท้วงกองกำลังสหรัฐฯในฟิลิปปินส์ที่มีทั้งเครื่องบินรบและเรือบรรทุกเครื่องบิน
ทั้งนี้ฐานทัพสหรัฐฯได้ถูกปิดลงไปอย่างถาวรหลังจากสภาสูงฟิลิปปินส์ไม่ผ่านมติอนุญาตในการขอเช่าของสหรัฐฯต่อในปี 1991แต่ทว่ากองกำลังสหรัฐฯยังสามารถกลับมาที่ฟิลิปปินส์ได้อีกครั้งเพื่อร่วมการฝึกซ้อมรบกับกองทัพฟิลิปปินส์ภายใต้ข้อตกลงในระดับทวิภาคีของการเยือนของกองกำลังสหรัฐฯในปี 1999 ไม่กี่ปีหลังจากที่จีนได้ประกาศเข้าครอบครองหมู่เกาะพิพาทในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ห่างจากฝั่งฟิลิปปินส์ตะวันตก
และนอกเหนือไปกว่านี้ ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯและฟิลิปปินส์ยังได้มีการร่วมลงนามในสัญญาอีกฉบับอนุญาตให้สหรัฐฯสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อเก็บยุทโธปกรณ์ทางการทหารภายในฐานทัพกองทัพฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าอาจมีบางส่วนที่ถูกใช้ในการป้องกันการรุกรานในเหตุพิพาททางทะเล
ทั้งนี้กลุ่มการเมืองเอียงซ้ายฟิลิปปินส์ได้ตั้งคำถามถึงความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรรมนูญฟิลิปปินส์ถึงข้อตกลงเหล่านี้โดยการยื่นเรื่องไปยังศาลสูงฟิลิปปินส์ ซึ่งในขณะนี้เรื่องยังคงอยู่ในชั้นศาล และส่งผลกระทบถึงการบังคับใช้สัญญา