รอยเตอร์ - พรรครัฐบาลสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่การคว้าชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในศึกเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันศุกร์ (11 ก.ย.) และอยู่บนเส้นทางของการคว้าเก้าอี้ในรัฐสภาเพิ่มเติม หลังผลอย่างไม่เป็นทางการคาดว่าน่าจะกวาดที่นั่งอย่างถล่มทลาย ส่วนฝ่ายค้านอาจจบลงด้วยการได้จำนวนสมาชิกสภาน้อยลงกว่าเดิม
พรรคกิจการประชาชน (PAP) ของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ซึ่งปกครองสิงคโปร์มาตั้งแต่ประกาศเอกราชในปี 1965 ได้รับคาดหมายมาตลอดว่าจะคว้าชัยชนะ แต่บรรดาพรรคฝ่ายค้านซึ่งส่งผู้สมัครลงชิงชัยครบทุกเขตเป็นครั้งแรกหวังว่าจะได้เสียงสนับสนุนมากพอที่จะท้าทายการครอบงำทางการเมืองของพีเอพี
“เรายินดีอย่างยิ่ง เรามีความสุขมากและในเวลาเดียวกัน เราก็ภูมิใจอย่างยิ่งต่อผลการเลือกตั้งที่ออกมา” นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง บอกกับผู้สนับสนุน หลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการพบว่าพรรคของเขาคว้าที่นั่งได้มากขึ้น “วันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้อย่างแน่นอน” เขากล่าว
ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการคาดหมายว่าพรรคพีเอพีจะได้รับเสียงสนับสนุนเกินร้อยละ 60.1 อันเป็นคะแนนที่พวกเขาเคยได้รับเมื่อครั้งชนะศึกเลือกตั้งคราวก่อนในปี 2011 อย่างสบายๆ โดยในศึกเลือกตั้งหนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นคราวที่พรรคพีเอพีมีผลงานย่ำแย่ที่สุดตลอดกาล พวกเขาก็ยังกวาดเก้าอี้ได้ถึง 79 จากทั้งหมด 87 ที่นั่งในรัฐภา
ในผลอย่างเป็นทางการของศึกเลือกตั้งคราวนี้ซึ่งมีการชิงชัยทั้งหมด 89 ที่นั่งเพิ่มเติมจากคราวก่อน 2 ที่นั่ง มีกำหนดเผยแพร่ออกมาในตอนเช้าวันเสาร์ (12 ก.ย.) แต่จากการประมาณการณ์พบว่าพรรคฝ่ายค้านอาจได้เก้าอี้ในรัฐสภาน้อยลงจากคราวก่อนที่คว้ามาได้ 7 ที่นั่ง ด้วยคาดหมายว่าพรรคพีเอพี จะกวาดอย่างน้อยๆ 83 ที่นั่ง
พรรคพีดีพี หวังว่าความรู้สึกรักชาติที่ได้แรงบันดาลใจจากวาระครบรอบ 50 ปีของการประกาศเอกราชและความเคารพต่อนายลี กวนยู รัฐบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศ บิดาของนายลี เซียน ลุง ซึ่งถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมีนาคม จะช่วยเรียกคะแนนนิยมให้แก่พวกเขา
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางประเด็นความเสี่ยงทางเศราฐกิจที่มีต้นตอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของจีนและความผันผวนของตลาดต่างๆ โดยดีบีเอสแบงก์ธนาคารอันดับหนึ่งของสิงคโปร์ สัปดาห์นี้ ได้ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปีนี้ลงเหลือแค่ร้อยละ 1.8 ต่ำกว่าที่ทางการคาดหมายว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 2-2.5
หลายปีแห่งการเติบโตอันแข็งแกร่ง เปลี่ยนเกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ ท้องถนนห้างสรรพสินค้า สวนสาธาณะสะอาดสะอ้าน และมาตรฐานการครองชีพที่ดีชาติอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เทียบไม่ติด
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวและการไหลบ่าของแรงงานต่างด้าวทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูง ระบบขนส่งมวลชนแออัดและช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเริ่มขยายตัวขึ้น ซึ่งกระพือความไม่พอใจแก่ผู้คนจำนวนมากในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งผลสำรวจระบุว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพแพงสุดในโลก
ปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นส่งผลให้มีพรรคฝ่ายค้านรวมทั้งหมด 8 พรรค ลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งหนนี้ โดยหวังเรียกคะแนนจากกลุ่มคนที่ไม่พอใจรัฐบาล ขณะที่เหล่าผู้สมัครพุ่งเป้าไปที่ประเด็นพื้นฐานทั่วไป อย่างการจ้างงาน ประกันสุขภาพและที่อยู่อาศัย