รอยเตอร์ - สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ประกาศหั่นเรตติ้งบราซิลลงสู่ขั้น “ขยะ” (junk) วานนี้ (9 ก.ย.) ซึ่งนับว่าเป็นผลเสียต่อความพยายามของประธานาธิบดี ดิลมา รุสเซฟฟ์ ในการกอบกู้ความเชื่อมั่นของตลาด และฉุดแดนแซมบ้าซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกาให้พ้นจากภาวะถดถอย
การถูกลดความน่าเชื่อถือจาก “น่าลงทุน” ลงมาสู่ขั้นขยะอย่างปัจจุบันทันด่วน คาดว่าจะสร้างกระแสตื่นตระหนกในตลาดการเงินบราซิลตั้งแต่วันนี้ (10) ขณะที่รัฐบาลและบริษัทสัญชาติบราซิลก็จะมีต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น
บราซิลได้รับเครดิตน่าลงทุนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 ซึ่งการลดเครดิตของ S&P ในครั้งนี้ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความพยายามของรุสเซฟฟ์ และรัฐมนตรีคลัง โจอาคิม เลวี ในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังสาธารณะที่อ่อนแอ และยังทำให้สินทรัพย์ในบราซิลเสี่ยงต่อการสูญเสียเม็ดเงินลงทุน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อหรือถือครองหุ้นซึ่งไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มน่าลงทุนได้
S&P ลดเรตติ้งของบราซิลจาก BBB- ลงมาเหลือเพียง BB+ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของขั้นขยะ
สถาบันแห่งนี้ได้ออกมาเตือนเมื่อไม่ถึง 2 เดือนก่อนว่าการหั่นเครดิตบราซิลมีความเป็นไปได้ ทว่าการปรับลดรวดเดียวลงมาถึงขั้นขยะก็สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจแดนแซมบ้ากำลังทรุดลงอย่างรวดเร็วเพียงใด ส่วนภาพรวมความความน่าเชื่อในอนาคตก็เป็น “ลบ” ซึ่งหมายความว่ามีสิทธิ์จะถูกลดเครดิตต่ำลงอีก
อันเดร เลย์เต นักวิเคราะห์จากสถาบัน แท็ก อินเวสติเมนโต ชี้ว่า เวลานี้ความน่าเชื่อถือของบราซิลตกต่ำกว่า “รัสเซีย” ซึ่งกำลังถูกสหรัฐฯและอีกหลายประเทศคว่ำบาตรเพื่อกดดันให้ยุติการสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก
“ถ้าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออื่นๆ ตัดสินใจลดเรตติ้งบราซิลด้วย เราอาจจะได้เห็นนักลงทุนกลุ่มสถาบัน (institutional investors) พากันถอนเงินทุนออกไป” เลย์เต กล่าว
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐมนตรีคลัง เลวี ได้เสนอนโยบายงบประมาณขาดดุล (deficit budget) สำหรับปี 2016 และยังถูกกดดันให้ต้องจัดเก็บภาษีเพิ่ม แม้จะมีกระแสต้านอย่างหนักจากสภาคองเกรสก็ตาม
รัฐบาลบราซิลประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมว่า เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ และอาจยืดเยื้อไปตลอดปี 2016 ซึ่งจะเป็นภาวะถดถอยที่กินเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1931 เป็นต้นมา
S&P ยังอ้างผลกระทบที่เกิดจากคดีทุจริตอื้อฉาวเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจน้ำมัน “เปโตรบราส” ซึ่งต้องสูญเสียเม็ดเงินไป 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงและนักการเมืองรวมหัวกันยักยอกเงินบริษัท โดยการทำสัญญาสัมปทานที่ตั้งราคาเกินจริงเพื่อกินเงินสินบน