เอเอฟพี - กลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง เนสท์เล่ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ โดยกล่าวหาบริษัทแห่งนี้ว่าจงใจใช้ปลาทะเลจากซัปพลายเออร์ในไทยที่มีการใช้แรงงานทาสมาผลิตเป็นอาหารแมวยี่ห้อ “แฟนซี ฟีสต์”
กลุ่มผู้ซื้ออาหารแมวซึ่งดำเนินการยื่นฟ้องแบบกลุ่มต่อศาลรัฐบาลกลางในนครลอสแองเจลิส เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) ระบุว่า พวกตนคือตัวแทนลูกค้าอาหารแมวยี่ห้อ แฟนซี ฟีสต์ ทุกคนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งคงจะไม่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ หากทราบว่ามีการใช้วัตถุดิบที่พัวพันแรงงานทาส
เอกสารคำฟ้องของโจทก์ ระบุว่า เนสท์เล่ และบริษัท ไทย ยูเนียน โฟรเซน โปรดักส์ พีซีแอล ได้ร่วมกันนำเข้าอาหารสัตว์ที่ทำจากปลาทะเลน้ำหนักมากกว่า 28 ล้านปอนด์ เข้ามาจำหน่ายในสหรัฐฯ ภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งวัตถุดิบบางส่วนมาจากซัพพลายเออร์ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาส
ฝ่ายโจทก์ร้องเรียนว่า เด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์จากประเทศยากจน เช่น เมียนมา และกัมพูชา จะถูกขายให้แก่กัปตันเรือประมงไทย ซึ่งแรงงานต่างด้าวเหล่านี้จะถูกบังคับให้ทำงานถึงวันละ 20 ชั่วโมงโดยได้ค่าตอบแทนที่น้อยมาก หรือบางครั้งก็ถูกปฏิเสธจ่ายค่าแรง บางคนถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งถูกฆ่าทิ้งหากทำงานไม่เป็นที่น่าพอใจ
“การที่ เนสท์เล่ ปิดบังข้อเท็จจริงดังกล่าว เท่ากับหลอกลวงผู้บริโภคนับล้านๆ คนให้มีส่วนสนับสนุนและส่งเสริมการใช้แรงงานทาสบนคุกกลางทะเล” สตีฟ เบอร์แมน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในบริษัทกฎหมาย เฮเกนส์ เบอร์แมน ระบุ
“เนสท์เล่ ล้มเหลวในการป้องกันมิให้มีแรงงานทาสเข้ามาอยู่ในสายการผลิต แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ นอกจากบริษัทจะสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว ยังบังคับให้ผู้บริโภคต้องตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“ลูกค้าหลายหมื่นคนคงไม่เลือกซื้ออาหารแมวยอดนิยมพวกนี้แน่ ถ้าหากพวกเขาทราบความจริงเสียก่อนว่า มีผู้คนนับร้อย ๆ ที่ตกเป็นทาส ถูกทุบตี หรือถูกฆ่าตายไปในกระบวนการผลิต”
เนสท์เล่ ยืนยันว่า การปกป้องสิทธิมนุษยชนคือหลักสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท