xs
xsm
sm
md
lg

‘นักข่าวญี่ปุ่นที่ถูกหลงลืมคนหนึ่ง’ คือผู้ที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงหรือ?

เผยแพร่:   โดย: ดั๊ก สึรุโอกะ

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Did a forgotten Japanese journalist turn the tide of World War II?
By Doug Tsuruoka
05/08/2015

ในเดือนธันวาคม 1941 กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตอาศัยกำลังพลและขบวนรถถังที่โยกย้ายมาจากดินแดนตะวันออกไกลของตน เปิดฉากโจมตีกองทัพเยอรมนีที่กำลังปิดล้อมมอสโก และสามารถแหกวงล้อมให้แก่เมืองหลวงของตนได้สำเร็จ หลังจากนั้นมาเยอรมนีก็ไม่เคยสามารถช่วงชิงฐานะการเป็นฝ่ายริเริ่มในสมรภูมิกลับคืนมาได้อีกเลย เหตุการณ์นี้มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากมองว่า ควรถือเป็นจุดพลิกผันอย่างแท้จริงจุดแรกสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 การที่โซเวียตสามารถโยกย้ายกำลังจำนวนมากออกมาจากแนวรบที่คุมเชิงญี่ปุ่นอยู่ได้เช่นนี้ ก็เนื่องจากได้รับข่าวกรองอันน่าเชื่อถือว่า กองทัพแดนอาทิตย์อุทัยจะไม่เปิดฉากบุกโจมตีสหภาพโซเวียตจากแนวรบทางตะวันออก อย่างที่มอสโกหวั่นเกรง ทั้งนี้ผู้ที่ตรวจสอบยืนยันข้อมูลชิ้นนี้ ก็คือ โฮสึมิ โอซากิ นักหนังสือพิมพ์ชาวญี่ปุ่นซึ่งแท้ที่จริงเป็นสายลับคนสำคัญใน “เครือข่ายจารชนโตเกียว” ที่บัดนี้กลายเป็นคนที่แทบไม่มีใครรู้จักเสียแล้ว

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า จุดที่ควรถือเป็นจุดพลิกผันอย่างแท้จริงจุดแรกสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 บังเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 1941 เมื่อกองทัพแดง (Red Army กองทัพของสหภาพโซเวียต) ที่นำโดย จอมพล กีออร์กี จูคอฟ (Marshal Georgy Zhukov) ตะลุยฝ่าแนวรบต่างๆ ของฝ่ายเยอรมันซึ่งกำลังกระชับวงล้อมกรุงมอสโก และทำลายการปิดล้อมนครหลวงของสหภาพโซเวียตแห่งนั้นจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ

มหากาพย์แห่ง “การแหกวงล้อมให้มอสโก” (Breakout from Moscow) คราวนั้น ซึ่งนำขบวนโดยกองพลทหารที่ยังสดชื่นจำนวน 18 กองพล, รถถัง 1,700 คัน, และเครื่องบิน 1,500 ลำ ที่ถูกเรียกระดมมาอย่างเร่งด่วนจากดินแดนตะวันออกไกลของสหภาพโซเวียต ได้กระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ติดตามต่อเนื่องมาเป็นระลอก ซึ่งทำให้กองทัพของฮิตเลอร์อยู่ในอาการโซซัดโซเซจากปากประตูของมอสโกไปจนถึงปากประตูของเบอร์ลินอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาจากความน่าจะเป็นทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ถ้ามอสโกถูกเยอรมนีตีแตกตั้งแต่ในตอนถูกปิดล้อม ชัยชนะครั้งใหญ่กว่านั้นที่ติดตามมาของโซเวียตทั้งที่เมืองสตาลินกราด (Stalingrad) และเมืองคูร์สก์ (Kursk) ก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้

“มันคือจุดเริ่มต้นแห่งการสิ้นสุดสำหรับฝ่ายเยอรมนี” จอห์น ไพค์ (John Pike) ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชาวอเมริกัน ซึ่งเวลานี้เป็นผู้อำนวยการของสำนักคลังสมองทางการทหาร “Globalsecurity.org ” ในกรุงวอชิงตัน บอกกับเอเชียไทมส์
ขณะที่ในเดือนสิงหาคมปี 2015 นี้ ทั่วโลกพากันเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปีแห่งการยอมแพ้ของญี่ปุ่นและการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่ย่อมเป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะย้อนระลึกเตือนความจำว่า ข่าวกรองอันสำคัญยิ่งยวดชิ้นที่เปิดทางให้จูคอฟ สามารถเคลื่อนย้ายกองกำลังซึ่งเป็นที่ต้องการเหลือเกินเหล่านั้นไปยังกรุงมอสโกได้ มาจากนักหนังสือพิมพ์ชาวญี่ปุ่นผู้ที่บัดนี้ถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว ซึ่งมีนามว่า โฮสึมิ โอซากิ (Hotsumi Ozaki)

โอซากิ เป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ชาวญี่ปุ่น และก็เป็นสมาชิกคนสำคัญยิ่งของเครือข่ายสายลับในโตเกียวที่สร้างผลงานเอาไว้ในระดับเป็นตำนาน เครือข่ายดังกล่าวนำโดย ริชาร์ด ซอร์เกอ (Richard Sorge) ชาวเยอรมันซึ่งแท้ที่จริงเป็นยอดจารชนของโซเวียต

ผลงานซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของ ซอร์เกอ คือการส่งข่าวแจ้งให้ สตาลิน ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่ญี่ปุ่นจะเข้าโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทว่ามันเป็นข้อมูลที่เจ้านายใหญ่ของเขาในวังเครมลินเพิกเฉยละเลย แต่สำหรับข้อมูลข่าวสารที่เขาส่งออกมาในระหว่างสงครามซึ่งสมควรถือว่าทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดและส่งผลกว้างไกลที่สุด น่าจะเป็นข่าวที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้หลายๆ ราย ว่ากองทัพญี่ปุ่นจะไม่ช่วยเหลือผ่อนเบาความลำบากของเยอรมนี ด้วยการเปิดแนวรบด้านที่สองเข้าต่อสู้ทำศึกกับสหภาพโซเวียต ข้อมูลชิ้นนี้เองเปิดทางให้ จูคอฟ สามารถโยกย้ายกำลังพลที่ผ่านการหล่อหลอมจนแข็งแกร่งจากสมรภูมิมาแล้วของเขา พร้อมด้วยขบวนรถถังยานหุ้มเกราะ เคลื่อนไปช่วยเหลือแหกวงล้อมให้กรุงมอสโก ทั้งนี้การยืนยันขั้นสุดท้ายถึงสิ่งที่ญี่ปุ่นจะกระทำเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ ได้มาจากการปฏิบัติงานอย่างดีเยี่ยมของ โอซากิ

การทำงานของสายลับที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

“ถ้าหากจะพูดถึงข่าวกรองชิ้นหนึ่งชิ้นใดซึ่งสามารถส่งผลถึงขั้นทำให้วิถีดำเนินของสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว มันก็ต้องเป็นรายงานที่ ซอร์เกอ ส่งไปยังมอสโกที่ระบุว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะไม่ยกพลเข้ารุกรานรัสเซีย” บ็อบ เบอร์กิน (Bob Bergin) อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับในต่างประเทศของสหรัฐฯ (US foreign service officer) ซึ่งสนอกสนใจเขียนเรื่องราวประวัติศาสตร์ด้านการปฏิบัติการทางข่าวกรองในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 “เครือข่ายของซอร์เก และบทบาทของ โอซากิ ในเครือข่ายนั้น น่าจะถือว่าเรื่องราวเกี่ยวกับสายลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับยุคสมัยไหนก็ตามที”

ทั้ง โอซากิ และ ซอร์เก ต่างถูกจับกุมในความผิดฐานเป็นจารชน และถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอโดยฝีมือของพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบฝ่ายญี่ปุ่น โดยเฉพาะ โอซากิ นั้นถือเป็นพลเรือนชาวญี่ปุ่นเพียงรายเดียวเท่านั้น ซึ่งถูกประหารชีวิตในความผิดฐานเป็นกบฏทรยศชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อมองจากสภาพภายนอก หนุ่มใหญ่แก้มยุ้ยเสน่ห์แรงมีผู้หญิงติดเกรียวกราวอย่างโอซากิ ซึ่งทำงานอยู่กับ “โอซากา อาซาฮี” (Osaka Asahi) หนังสือพิมพ์ชั้นนำของญี่ปุ่นในเวลานั้น ไม่น่าที่จะได้รับเลือกให้แสดงบทบาทอันทรงความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์เช่นนี้เลย

เขาเกิดที่เมืองชิรากาวะ (Shirakawa) จังหวัดกิฟุ (Gifu) ในวันเมย์เดย์ 1 พฤษภาคม ของปี 1901 เขาสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักรบซามูไรเก่า ทว่าเมื่อมาถึงรุ่นบิดาของเขานั้น คุณพ่อของเขาทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีฐานะยากจนแทบไม่มีเงินทองเอาเลย ช่วงที่เขายังเป็นวัยรุ่นอยู่ เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปพำนักอาศัยที่ไต้หวันซึ่งตอนนั้นมีฐานะเป็นอาณานิคมแห่งใหม่ของญี่ปุ่น ณ ที่นั้นเอง โฮสึมิ ชายหนุ่มผู้มีอารมณ์วู่วามอย่างควบคุมไม่ได้แต่ก็มีความคิดที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังรับรู้สิ่งใหม่ๆ ก็ได้มีโอกาสคุ้นเคยกับวัฒนธรรมจีน และความรู้สึกเคอะเขินกระอักกระอ่วนจากการที่ต้องมีฐานะเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของชนชั้นปกครองของเกาะแห่งนั้น

“การที่ผมมีสายสัมพันธ์อยู่กับชนชั้นที่มีฐานะเป็นผู้ควบคุมและผู้ปกครองเช่นนี้ ได้เปิดเผยให้ผมทราบถึงสิ่งต่างๆ ในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงรูปธรรมของชีวิตประจำวัน ประสบการณ์นี้เองที่ในเวลาต่อมาได้เป็นแรงกระตุ้นภายในตัวผม ให้เกิดความสนอกสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับปัญหาการปลดแอกประเทศชาติ แล้วยังทำให้ผมมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาจีนอีกด้วย” โอซากิ ถูกอ้างอิงว่าพูดเช่นนี้ ในหนังสือชีวประวัติเรื่อง “An Instance of Treason: Ozaki Hotsumi and the Sorge Spy Ring.” ซึ่งเขียนโดย ชัลเมอร์ส จอห์นสัน (Chalmers Johnson) ผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่น ตีพิมพ์เมื่อปี 1990

โอซากิ เดินทางกลับญี่ปุ่นในปี 1922 และเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล (Tokyo Imperial University ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว -ผู้แปล) แต่ไม่ช้าไม่นานนักเขาก็เลิกเรียนกลางคัน และพาตัวเองเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างทุ่มเท การที่เขาหันมายอมรับฝักใฝ่ลัทธิมาร์กซิสต์และกลายเป็นผู้คัดค้านรัฐบาลญี่ปุ่น ได้ก่อรูปขึ้นมาในช่วงหลังจากเหตุการณ์มหาแผ่นดินไหวเขตคันโตปี 1923 (Great Kanto Earthquake of 1923) เมื่อเขาได้เห็นพวกตำรวจท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ทางการทำการยุยงให้ฝูงชนเกิดความหวั่นผวาบ้าคลั่งอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การเข่นฆ่าสังหารชาวเกาหลีที่พำนักอาศัยอยู่ในโตเกียวจำนวนมากกว่า 6,000 คน

“ฝูงชนที่เดือดระอุด้วยรุนแรงได้บุกเข้าจับตัว, ทรมาน, และเข่นฆ่าคนเกาหลี ด้วยความเชื่ออย่างหวาดกลัวลนลานว่า ชาวเกาหลีเหล่านี้กำลังใช้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นมาเป็นโอกาสที่จะก่อการกบฎ” จอห์นสันเขียนเอาไว้เช่นนี้ ขณะเดียวกันมีรายงานด้วยว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบยังได้ฉวยใช้ช่วงเวลาสับสนวุ่นวายจากมหาแผ่นดินไหวนี้ เข้าจับกุมหรือกระทั่งเข่นฆ่าผู้นำแรงงานชาวญี่ปุ่นไปเป็นจำนวนมาก

ชายหนุ่มหัวรุนแรงผู้นี้ได้เดินตามรอยเท้าบิดาของเขาด้วยการยึดอาชีพเป็นนักหนังสือพิมพ์ เขาได้รับการว่าจ้างจากหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุง (Asahi Shimbun)ให้เป็นผู้สื่อข่าวในปี 1926 และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตอย่าง วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) และ โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) อาซาฮีได้ส่งเขาไปประจำอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในปี 1928 ซึ่งที่นั่นเขาได้กลายเป็นเพื่อนมิตรกับผู้สื่อข่าวอเมริกันหัวเอียงซ้าย แอกเนส สเมดลีย์ (Agnes Smedley) โอซากิยังเริ่มให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ แก่พวกสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่อยู่ในเมืองใหญ่แห่งนั้น

การพบกันระหว่าง “โอซากิ” กับ “ซอร์เกอ

แอกเนส สเมดลีย์ นั่นเอง เป็นผู้แนะนำ โอซากิ ต่อ ซอร์เกอ ในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศจีนเที่ยวหนึ่งของฝ่ายหลัง “คุณช่วยแนะนำผมให้รู้จักกับคนญี่ปุ่นสักคนได้ไหม คนที่สามารถช่วยให้ผมมีความรู้มากขึ้นในเรื่องนโยบายของญี่ปุ่นต่อจีน?” ซอร์เกอ ถูกอ้างอิงว่าได้ขอร้อง สเมดลีย์ เช่นนี้ ในหนังสือเรื่อง “Stalin’s Spy” เขียนโดย โรเบิร์ต วายมานต์ (Robert Whymant) และตีพิมพ์เมื่อปี 1996 แล้ว สเมดลีย์ ก็แนะนำ ซอร์เก ซึ่งเป็นคนรักของเธอในตอนนั้น ให้รู้จักกับ โอซากิ

ปรากฏว่าทั้งคู่ถูกชะตากัน “โอซากิเป็นคนนิสัยดีมีความเป็นมิตร มีความสนใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือ พวกเขาทั้งคู่ยังยอมรับความสามารถเชิงสติปัญญาของกันและกัน” วายมานต์เขียนถึงส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างชายทั้งสองคนนี้

โอซากิ เข้าร่วมในเครือข่ายสายลับของซอร์เกอ แล้วทั้งคู่ยังจับมือร่วมทีมกันในญี่ปุ่น หลังจากที่ ซอร์เกอ ซึ่งแสดงตัวเป็นนักหนังสือพิมพ์นิยมฝักใฝ่ลัทธินาซีที่มุ่งสืบหาข่าวกรองทางการทหารของรัสเซีย ได้ถูกโยกย้ายให้มาประจำที่โตเกียว สมาชิกสำคัญคนอื่นๆ ยังประกอบด้วย โยโตกุ มิยางิ (Yotoku Miyagi) ที่เป็นชาวโอกินาวา, บรันโค วูเคลิช (Branko Vukelic) ชาวยูโกสลาเวีย, และ แมกซ์ เคลาเสน (Max Clausen) ชาวเยอรมันที่เป็นมือรับส่งวิทยุ

“ถ้าให้ผมไตร่ตรองขบคิดอย่างลึกซึ้งแล้ว ผมสามารถพูดได้ว่าพรหมลิขิตได้ชักนำผมให้พบกับ แอกเนส สเมดลีย์ และ ริชาร์ด ซอร์เกอ จริงๆ จากการที่ผมได้พบปะคลุกคลีกับคนเหล่านี้นี่เอง ในที่สุดก็ได้เป็นตัวกำหนดเส้นทางเดินแคบๆ ของผมนับตั้งแต่นั้นมา” โอซากิ กล่าวเช่นนี้ภายหลังจากถูกจับกุมตัว

สำหรับ ซอร์เกอ นั้น เขาเป็นสายลับที่ฉลาดหลักแหลมและคนที่มีความกล้าหาญองอาจอย่างยิ่ง ทว่าเขาแทบไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นเอาเลย ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, สถาบัน, และวัฒนธรรมต่างๆ ของญี่ปุ่น ก็ล้วนแต่เป็นรหัสปริศนาที่เขาไขไม่ออก และเป็น โอซากิ นั่นเองที่คอยแนะนำคอยให้ความรู้แก่เขา นอกจากนั้นยังเป็นนักข่าวญี่ปุ่นช่างพูดช่างคุยผู้นี้อีกนั่นแหละที่ออกหาคนญี่ปุ่นซึ่งต่อต้านสงครามคนอื่นๆ เข้ามาเป็นสมัครพรรคพวก เพื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายออกแรงใช้กำลังอยู่ในญี่ปุ่นของทางเครือข่าย

ในขณะที่ประวัติศาสตร์ให้เครดิตอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่ ซอร์เกอ สำหรับการส่งผ่านข่าวกรองสำคัญยิ่งแก่มอสโก โดยระบุว่าเขาเป็นมันสมองและกึ๋นของการปฏิบัติการของเครือข่าย ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีว่า ซอร์เกอ (ผู้ซึ่งไม่สามารถพูดหรืออ่านภาษาญี่ปุ่นได้) สามารถทำงานอย่างประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้หรือไม่ถ้าหากปราศจากโอซากิ ซึ่งสามารถพาตัวเองเข้าไปจนถึงแวดวงชั้นในที่สุดของรัฐบาลญี่ปุ่น

ในฐานะที่เป็นผู้รู้เรื่องจีนระดับแถวหน้า โอซากิสามารถนำมาใช้แผ้วถางเส้นทางของเขาจนกระทั่งกลายเป็นที่ปรึกษาและคนสนิทของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เจ้าชายฟูมิมาโระ โคโนเอะ (Prince Fumimaro Konoe) ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ เขามีโอกาสพบปะเป็นประจำกับเจ้าชายโคโนเอะ และกลุ่มมิตรสหายวงในของเจ้าชาย ณ วังที่ประทับของเจ้าชายในกรุงโตเกียว ที่นั่นเองกลายเป็นสถานที่ซึ่ง โอซากิ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารอันสำคัญยิ่งยวดเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การทหารของญี่ปุ่น และนโยบายของญี่ปุ่นต่อแผ่นดินใหญ่เอเชีย

ใช้ชื่อรหัสว่า “ออตโต”

โอซากิ ซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า “ออตโต” (Otto) และ มิยางิ ชื่อรหัส “โจ” (Joe) แบกรับภารกิจเสี่ยงอันตรายต่างๆ ทั้งในญี่ปุ่น, แมนจูเรีย, และส่วนอื่นๆ ของเอเชีย เพื่อรวบรวมจัดทำรายงานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกองทหารญี่ปุ่น พวกเขายังคอยประสานงานตรวจสอบยืนยันข้อมูลข่าวสารซึ่ง ซอร์เกอ ได้รับจากเหล่านักการทูตเยอรมันอีกด้วย

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่ใช่น้อยเลยที่ โอซากิ สามารถหลบหลีกรอดพ้นจากกลไกความมั่นคงยามสงครามของญี่ปุ่นอันขึ้นชื่อว่าทรงประสิทธิภาพและเหี้ยมโหดมาได้ยาวนานถึงขนาดนี้ นี่ต้องถือเป็นกรณีคลาสสิกเกี่ยวกับความตาบอดตามัวอันเนื่องจากฉันทาคติวัฒนธรรมกรณีหนึ่งทีเดียว เนื่องจากไม่มีใครสักคนในฝ่ายญี่ปุ่นเลยที่บังเกิดความระแวงสงสัยขึ้นมาว่า คนที่ได้เคยผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่นมาแล้วจะสามารถทำงานให้สตาลินได้

ซอร์เกอ ยังเป็นนักหนังสือพิมพ์ซึ่งใช้ฐานะบังหน้าของเขาในการเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์แฟรงเฟิร์ตเตอร์ไซตุง (Frankfurter Zeitung) ของเยอรมนี มาเอาชนะจนได้รับความไว้วางใจจากพวกนักการทูตชาวเยอรมันในญี่ปุ่น ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสร้ายแรงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญชั้น “กางเขนเหล็ก” (Iron Cross) ซอร์เกอ มีความโอนเอียงมาในแนวทางสนับสนุนการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของชนชั้นกรรมาชีพ (Great Proletarian Revolution ) เป็นครั้งแรก เนื่องจากพยาบาลผู้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ผู้หนึ่งซึ่งคอยดูแลเยียวยาอาการบาดเจ็บของเขา นักผจญภัยผู้หงุดหงิดง่ายผู้นี้มีความชื่นชอบในเหล้าไวน์, ผู้หญิง, และรถมอเตอร์ไซค์ เขามีบิดาเป็นชาวเยอรมัน แต่แทบไม่มีใครทราบเลยว่ามารดาของเขาเป็นชาวรัสเซียผู้ทำให้เขาซึมซับความรู้สึกจงรักภักดีในสิ่งอื่นๆ ต่างหากออกไป ข่าวกรองอันน่าตื่นตะลึงชิ้นใหญ่ที่สุดบางชิ้นที่ ซอร์เกอ ได้มา แยกไม่ออกจากความสัมพันธ์ร้อนฉ่าฉันชู้สาวที่เขาลักลอบมีอยู่กับภรรยาของเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำญี่ปุ่น

วิถีทางสู่ความตายอย่างมีเกียรติ

โอซากิ เป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างแท้จริงในสิ่งที่เขากระทำ เขาเป็นผู้เลือกข้างด้วยตัวเองว่าจะต้องต่อสู้คัดค้านฝ่ายอักษะ (เยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น -ผู้แปล)

“ผมปรารถนาที่จะเดินไปสู่ความตายด้วยความสง่างามในฐานะที่เป็นชาวคอมมิวนิสต์ผู้หนึ่ง ผมไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ และผมเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว” โอซากิ บอกกับผู้ไปเยี่ยมผู้หนึ่ง ไม่นานนักก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิต

เขาทราบหรือไม่ถึงอาชญากรรมต่างๆ ของสตาลิน ตลอดจนด้านดำมืดของลัทธิคอมมิวนิสต์ ? นั่นดูจะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างออกไป มีผู้คนนับล้านๆ ทีเดียวซึ่งไม่ได้รับการบอกกล่าวเล่าขาน แต่พวกเขารอดชีวิตมาได้ก็เพราะสิ่งที่ โอซากิ กระทำไป

รายละเอียดกลอุบายต่างๆ ที่เครือข่ายจารชนโตเกียวเครือข่ายนี้นำมาใช้ในการพิสูจน์ตรวจสอบเจตนารมณ์และการจัดวางกำลังทหารของฝ่ายญี่ปุ่นต่อแนวรบด้านตะวันออกของสหภาพโซเวียตนั้น สามารถที่จะบรรยายออกมาได้เป็นหนังสือหลายเล่ม หากพูดกันพอคร่าวๆ ก็เป็นดังนี้คือ: จูคอฟได้ทำลายล้างกำลังส่วนที่ดีเยี่ยมของกองทหารญี่ปุ่น 2 กองพล ในการทำสงครามช่วงสั้นๆ แต่ดุเดือดโหดเหี้ยมกับญี่ปุ่นในปี 1939 ณ เมืองโนมอนฮัน (Nomonhan) บริเวณแนวพรมแดนระหว่างรัสเซียกับมองโกเลีย “มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นแน่ใจว่าการสู้รบกับรัสเซียนั้นจะเป็นงานยากลำบากโหดหินอย่างยิ่ง” ไพค์ บอกพร้อมกับย้ำว่ายุทธการคราวนี้ซึ่งยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “คัลคิน กอล” (Khalkhin Gol) เป็นบทเพลงโหมโรงที่ไม่ค่อยได้รับการชื่นชมซาบซึ้งอะไรนักของทางมอสโก ทั้งนี้ ซอร์เกอ, โอซากิ, และ มิยางิ ก็ได้แสดงบทบาทอันสำคัญมากในคราวนี้ด้วยการถ่ายทอดข่าวกรองเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทหารญี่ปุ่นไปให้ จูคอฟ ทราบ

หลังจากความปราชัยอย่างน่าอับอายคราวนั้นแล้ว ฝ่ายญี่ปุ่นยังคงชุมนุมทหารเป็นจำนวนมากเอาไว้ตรงบริเวณใกล้ๆ พรมแดนของรัสเซียซึ่งติดต่อกับแมนจูเรีย ในเวลาเดียวกัน เบอร์ลินก็กำลังบีบคั้นกดดันโตเกียวไม่หยุดไม่หย่อนให้เปิดการรุกรบอีกคำรบหนึ่ง สตาลินขณะนั้นจึงมีความหวาดกลัวว่าญี่ปุ่นจะเปิดการโจมตีประสาน ขณะที่กองทัพเยอรมันรุกรานรัสเซียจากแนวรบทางด้านตะวันตกในปี 1941 ความสำเร็จในช่วงต้นๆ ของฝ่ายเยอรมันที่ทำศึกรุกเข้าไปในรัสเซีย เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้กำลังใจ และญี่ปุ่นทำท่าเหมือนกับกำลังระดมกำลังเพื่อเปิดการโจมตีรัสเซีย เป็นการประสานจากแนวรบอีกด้านหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ซอร์เก ได้ทราบข้อมูลระหว่างการพูดคุยสนทนากันเล่นๆ กับผู้ช่วยทูตทหารเรือชาวเยอรมันผู้หนึ่งในปี 1941 ว่าญี่ปุ่นได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนไม่เปิดศึกทำสงครามกับสหภาพโซเวียต เนื่องจากวิตกกังวลเกี่ยวกับการสู้รบกับสหรัฐฯที่กำลังจะเกิดขึ้นมา พวกนักยุทธศาสตร์ของฝ่ายญี่ปุ่นจึงกำลังใช้วิธีเฝ้าดูไปก่อนจนกว่ารัสเซียจะถึงจุดซึ่งจะพังพินาศลงอย่างแน่นอนแล้ว ถ้าหากข่าวเรื่องนี้เป็นความจริง นี่ย่อมหมายความว่าทหารโซเวียตจำนวนหลายแสนคนซึ่งกำลังถูกตรึงเอาไว้ในดินแดนตะวันออกไกล สามารถที่จะขยับโยกย้ายออกไปยังแนวรบทางด้านอื่นได้ ทว่าข่าวกรองร้อนฉ่าชิ้นนี้จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบยืนยันก่อนที่จะสามารถส่งทางวิทยุไปแจ้งมอสโกได้ –และเป็น โอซากิ นั่นเองซึ่งทำงานตรงนี้

ตอนปลายเดือนสิงหาคมปี 1941 โอซากิ เดินทางไปยังแมนจูเรียซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ด้วยข้ออ้างบังหน้าว่าเพื่อเข้าร่วมการประชุมซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัททางรถไฟแมนจูเรียใต้ (South Manchurian Railway) ของญี่ปุ่น ที่เมืองไดเรน (Dairen เมืองนี้เรียกกันเป็นภาษาจีนในปัจจุบันว่าเมืองต้าเหลียน เมืองใหญ่อันดับ 2 ของมณฑลเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน -ผู้แปล) จุดประสงค์อันแท้จริงของเขาคือการตรวจสอบว่าการจัดวางกำลังของกองทัพกวันตง (Kwantung Army) ของญี่ปุ่นนั้นอยู่ในสภาพเช่นไร เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าพวกเขากำลังเตรียมการสำหรับเข้ารุกรานไซบีเรียอยู่หรือไม่ เขายังรวบรวมข้อมูลสถิติเกี่ยวกับน้ำมันในคลังของกองทัพบกและกองทัพเรือญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นร่องรอยในการวิเคราะห์การจัดวางกำลังทางทหารอีกด้วย

ไม่นานต่อมา โอซากิ ก็เดินทางกลับสู่โตเกียวพร้อมด้วยชิ้นต่อชิ้นสุดท้ายของภาพต่อปริศนาภาพนี้ “อันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว” ซอร์เกอเขียนทบทวนสิ่งที่โอซากิบอกเล่าให้เขาฟัง ลงในสมุดบันทึกประจำวันเล่มหนึ่ง ฝ่ายญี่ปุ่นกำลังถอนหน่วยทหารหลายหน่วยออกจากแมนจูเรีย และไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายหน่วยอื่นๆ ออกจากจีนขึ้นไปทางเหนือ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการรุกรานรัสเซียจากแนวรบด้านตะวันออกจะยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต สัญญาณทั้งหมดที่ปรากฏออกมากลับแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นกำลังจะบุกโจมตีลงไปทางใต้ นั่นคือมุ่งสู่หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Dutch East Indies ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย -ผู้แปล) และสิงคโปร์

“โอซากินั่นแหละที่เป็นสายลับตัวจริงในกรณีนี้” เบอร์กิน บอกกับเอเชียไทมส์ “สิ่งที โอซากิ ทำไป และวิธีที่เขาทำมัน แน่นอนทีเดียวว่าควรจะได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง บางทีนี่คือส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องนี้ทั้งหมดทีเดียว เขามาพบกับซอร์เกอ ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้ข่าวซึ่งอยู่ตรงจุดที่มีข่าวเรียบร้อยแล้ว แต่เขามาในสภาพของคนนอก มันต้องผ่านการใช้ความพยายามอย่างตั้งอกตั้งใจของเขานั่นแหละ เขาจึงสามารถนำตัวเองเข้าไปในแวดวงระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่น และกลายเป็นคนสนิทของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ นี่จะต้องเป็นความฝันของบรรดาสายลับทั้งหมดทุกคนทีเดียว ทว่าเกือบทั้งหมดไม่เคยทำได้สำเร็จหรอก เขาพาตัวเองเข้าไปจนสามารถอยู่ตรงจุดที่มีข่าวกรอง การกระทำของสายลับแต่ละคนสามารถสร้างสิ่งที่แตกต่างขึ้นมาได้จริงๆ”

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือสิ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 1941 ขบวนแถวของรถถังและกองทหารโซเวียตในจุดพรางสีขาวสำหรับฤดูหนาว (ทั้งรถถังและทหารเหล่านี้เคลื่อนย้ายออกมาจากขบวนรถวิ่งบนราง ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงขนส่งพวกเขามาจากดินแดนในเอเชียของสหภาพโซเวียตเมื่อเร็วๆ นี้เอง) เปิดการโจมตีภายใต้การกำบังของพายุหิมะที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ฝ่ายเยอรมันไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวและถูกเล่นงานแบบเซอร์ไพรซ์ จากนั้นเป็นต้นมาฝ่ายนี้ก็ไม่สามารถช่วงชิงฐานะการเป็นผู้ริเริ่มในสมรภูมิกลับมาได้อีกเลย ไพค์ชี้ว่า กำลังหนุนของ จูคอฟ ในที่สุดก็สามารถตีกวาดลงใต้และทำลายกระดูกสันหลังของกองทัพที่ 6 ของเยอรมนีที่เมืองสตาลินกราด

ถ้าหากมอสโกถูกเยอรมันตีแตก ...

มันจะเป็นอย่างไรกันหนอ ถ้าหากมอสโกถูกเยอรมันตีแตกตั้งแต่ตอนที่ถูกปิดล้อม? “พวกสัมพันธมิตรตะวันตกไม่เคยแน่ใจเลยว่าฝ่ายโซเวียตจะทำอย่างไรต่อไป” ไพค์ ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งต่อทัศนะความเห็นที่ว่า โอซากิ กับ ซอร์เกอ เป็นผู้ที่มีบทบาทเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ กล่าวตั้งข้อสังเกต “เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่สตาลินได้เคยกระทำมาแล้ว ในเวลานั้นมีอันตรายอย่างชัดเจนจริงๆ ที่โซเวียตอาจจะแยกตัวไปทำข้อตกลงสันติภาพกับเยอรมนี ฝ่ายโซเวียตสามารถพูดได้ว่า ‘เราทำมามากพอแล้ว’ และตัดสินใจยุติศึก” ต่อจากนั้นเครื่องจักรสงครามของฝ่ายอักษะก็จะถูกทุ่มเทเข้าใส่สหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่

สตาลินลงมือปฏิบัติการโดยอิงอาศัยข้อมูลของ ซอร์เกอ สืบเนื่องจากข่าวกรองเกี่ยวกับการจัดทัพของกองทหารญี่ปุ่นที่โนมอนฮัน ซึ่งเขาส่งมาให้ก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าถูกต้องแม่นยำ อันที่จริงยอดสายลับผู้นี้ยังแอบสืบทราบจากพวกแหล่งข่าวทางการทูตชาวเยอรมันในโตเกียว และได้แจ้งเตือนสตาลินถึงการที่ญี่ปุ่นกำลังจะเปิดการโจมตีฐานทัพอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐฯในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 แต่ในกรณีหลังนี้ สตาลินเลือกที่จะไม่เตือนสหรัฐฯเกี่ยวกับการโจมตีดังกล่าว เพราะถ้าข่าวเรื่องนี้เป็นความจริง เขาก็ประสงค์จะให้ “มหาอำนาจเอบีซี” (ABC Powers โดยที่ A คือ America, B คือ Britain, และ C คือ China ) ต้องสาละวนวุ่นวายอยู่กับการทำสงครามกับทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนี ซึ่งจะทำให้มอสโกอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ

สำหรับเครือข่ายจารชนโตเกียวนั้น ในที่สุดก็ถูกเปิดโปงทำลาย เมื่อทางการตำรวจญี่ปุ่นค้นพบว่า มิยางิ ได้เคยเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในสหรัฐฯเมื่อหลายๆ ปีก่อนหน้านั้น

ภายหลังจากถูกจับกุม มิยางิได้พยายามปกป้องพวกสหายร่วมงานของเขา ด้วยการกระโจนลงจากหน้าต่างของกองบัญชาการตำรวจ แต่โชคร้ายเขายังคงรอดชีวิตหลังจากตกลงมาจากตึก และในการซักถามที่ติดตามมา ตำรวจก็สามารถเข้าจับกุมสมาชิกคนอื่นๆ ในเครือข่ายสายลับนี้

โอซากิ และ ซอร์เกอ ต่างถูกทรมานอย่างทารุณเหี้ยมโหด และยอมรับ “อาชญากรรม” ของพวกเขา ทั้งคู่ถูกบังคับให้เขียนคำรับสารภาพยาวเหยียดซึ่งแจกแจงรายละเอียดงานจารกรรมของพวกเขา

ซอร์เกอนั้นถึงอย่างไรก็จะถูกส่งตัวไปยังตะแลงแกง ไม่ว่าเขาจะเขียนคำรับสารภาพออกมาอย่างไร แต่ในรายของ โอซากิ นั้นผิดแผกออกไป มีความเป็นไปได้ที่ศาลจะไม่ลงโทษประหารชีวิต หากเขายอมกลับคำให้การเกี่ยวกับความผิดที่เขาได้กระทำไป ด้วยการเขียนสิ่งที่เรียกกันว่า “เทนโกโช” (tenkosho) นั่นก็คือคำแถลงแสดงการกลับเนื้อกลับตัว

อย่างไรก็ดี โอซากิพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมกลับคำให้การ “โอซากิ รู้สึกว่าเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินกว่าจะทนได้ หากต้องขอชีวิตของเขาเองด้วยการเพิกถอนความเชื่อและหลักการต่างๆ ที่เขาเคยยกย่องชื่นชม” วายมานต์ บอก ในท้ายที่สุดแล้วศาลจึงพิพากษาว่า ทัศนะความคิดเห็น “ต่อต้านรัฐ” ของเขานั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

โอซากิ กับ ซอร์เกอ ถูกแขวนคอในช่วงห่างกันเพียงไม่กี่นาที เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1944 ในเรือนจำสุงาโม (Sugamo) ของกรุงโตเกียว 10 เดือนก่อนที่ฝ่ายญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ วันดังกล่าวยังตรงกับวาระครบรอบปีที่ 27 แห่งการปฏิวัติบอลเชวิก (Bolshevik Revolution การปฏิวัติรัสเซียที่นำโดยวลาดิมีร์ เลนิน -ผู้แปล) โอซากิ เป็นผู้ที่ถูกประหารชีวิตคนแรก

“(ซอร์เก) ถูกนำตัวไปยืนอยู่บนประตูกลซึ่งจัดทำขึ้นตรงพื้นของตะแลงแกง เขายืนอยู่อย่างสงบโดยที่ทั้งแขนและขาของเขาถูกพันธนการ เขาไม่ทราบเลยว่า ไม่นานนักภายหลังเวลา 9.30 น.ของเช้าวันเดียวกันนั้น โอซากิ โฮสึมิ ผู้ช่วยเหลือที่จงรักภักดีของเขา ก็ได้ถูกนำตัวมายืนอยู่ตรงจุดเดียวกันนี้ และถูกแขวนคอจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปในเวลา 9.51 น.” วายมานต์ เขียนเอาไว้เช่นนี้

สำหรับ มิยางิ และ วูเคลิช ต่างเสียชีวิตขณะถูกจองจำ

ซอร์เกอ ได้รับการประกาศยกย่องให้เป็น “วีรชนแห่งสหภาพโซเวียต” ภายหลังวันวี-เจ เดย์ (V-J Day วันได้ชัยชนะต่อญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ซึ่งญี่ปุ่นประกาศการยอมแพ้อย่างเป็นทางการ -ผู้แปล) และได้รับรางวัลย้อนหลังด้วยการมีอนุสาวรีย์ทำด้วยหินตั้งอยู่ในกรุงมอสโก สำหรับ โฮสึมิ โอซากิ นั้น ในญี่ปุ่นทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอนุสาวรีย์ใดๆ สร้างขึ้นมาให้เขา

ดั๊ก สึรุโอกะ เป็นบรรณาธิการใหญ่ของเอเชียไทมส์ เขาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และอดีตผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ซึ่งเคยทำงานให้กับ ฟาร์ อีสเทิร์น อีโคโนมิก รีวิว, เอเชียไทมส์ฉบับที่เป็นหนังสือพิมพ์, นิวสวีก, สำนักข่าวเอพี-ดาวโจนส์ นิว เซอร์วิส, อินเวสเตอร์ส บิสซิเนส เดลี่, และสื่อมวลชนรายใหญ่อื่นๆ ทั้งนี้เขาติดตามรายงานข่าวจากญี่ปุ่น, เกาหลี, มาเลเซีย, และไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น