เอเจนซีส์ – กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ วิงวอนให้พลเมืองดีที่ถืออาวุธมายืนคุ้มกันหน้าสถาบันทหารกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ วานนี้(24 ก.ค.) พร้อมยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงยังสามารถดูแลความปลอดภัยหน่วยงานกองทัพเองได้ หลังเกิดเหตุกราดยิงสถาบันทหารในรัฐเทนเนสซีเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน
เหตุการณ์คนร้ายกราดยิงสถาบันทหาร 2 แห่งในเมืองแชตตานูกา มลรัฐเทนเนสซี เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ทำให้ชาวอเมริกันบางคนฉวยปืนสั้นหรือปืนไรเฟิลของตนเองมาเป็นอาสาสมัครคุ้มกันที่หน้าสถาบันสรรหาบุคลากรของกองทัพ
ปีเตอร์ คุก โฆษกเพนตากอน แถลงว่า กระทรวงกลาโหมมีความซาบซึ้งในน้ำใจที่หลั่งไหลมาจากภาคประชาชน ทว่าการที่พลเรือนออกมาเป็นอาสาสมัครเช่นนี้ จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
“ดังนั้น เราจึงขอร้องให้ประชาชนทุกคนโปรดอย่ายืนคุ้มกันที่หน้าสำนักงานสรรหาบุคลากรอีก เพราะจะส่งผลกระทบต่อภารกิจของเจ้าหน้าที่ หรือทำให้เกิดความเสี่ยงโดยไม่ตั้งใจ” คุก กล่าว
หนังสือพิมพ์ โคลัมบัส ดิสแพตช์ ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นในรัฐโอไฮโอ รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี(23) ที่ผ่านมา พลเมืองดีคนหนึ่งที่ถือปืนไรเฟิลอยู่หน้าสำนักงานสรรหาบุคลากรในรัฐโอไฮโอก็เกิดทำปืนลั่นขึ้น
เหตุกราดยิงในค่ายทหารเรือและนาวิกโยธินที่เมืองแชตตานูกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารเรือและนาวิกโยธินเสียชีวิตรวม 4 นาย ก่อให้เกิดกระแสถกเถียงว่าเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ที่ทหารจะไม่พกอาวุธเวลาอยู่ในกรมกอง
โมฮัมหมัด ยูซุฟ อับดุลอาซิส มือปืนชาวอเมริกันเชื้อสายคูเวตวัย 24 ปี ถูกตำรวจวิสามัญในที่เกิดเหตุ
แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้สัญญาว่าจะปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถาบันทหารต่างๆ แต่ถึงอย่างไรเสีย กองทัพก็ยังไม่สนับสนุนให้ทหารพกพาอาวุธขณะที่อยู่ในกรมกอง