เอเอฟพี – สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นมีมติผ่านชุดกฎหมายความมั่นคงใหม่ซึ่งจะเปิดทางให้แดนอาทิตย์อุทัยส่งกองกำลังออกไปช่วยเหลือพันธมิตรในสงครามต่างแดนได้เป็นครั้งแรก วันนี้ (16 ก.ค.) ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยที่ชี้ว่า กฎหมายเหล่านี้ละเมิดรัฐธรรมนูญใฝ่สันติที่ญี่ปุ่นใช้มานานถึง 70 ปี
การโหวตร่างกฎหมายครั้งนี้มีเพียงพรรคร่วมรัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เท่านั้นที่ออกเสียง เนื่องจาก ส.ส. ฝ่ายค้านพากัน “วอล์คเอาท์” ออกจากที่ประชุม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นกระแสคัดค้านที่ค่อนข้างแรงในสังคมญี่ปุ่น
“สถานการณ์ความมั่นคงรอบๆ ประเทศของเรายิ่งเลวร้ายลงทุกวัน” อาเบะ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการโหวต ซึ่งเข้าใจได้ชัดเจนว่ากำลังพาดพิงถึงจีน
“ชุดกฎหมายเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการปกป้องชีวิตพลเมืองญี่ปุ่น และหลีกเลี่ยงสงครามก่อนที่มันจะอุบัติขึ้น”
เมื่อวานนี้ (15) มีผู้ประท้วงราว 60,000 คนไปชุมนุมที่หน้าอาคารรัฐสภาในกรุงโตเกียวจนเกิดปะทะกับตำรวจ โดยมีชายวัย 60 เศษ 2 คนถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ หลังจากคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของ อาเบะ กุมเสียงส่วนใหญ่ ลงมติรับรองชุดกฎหมายซึ่งจะผ่อนคลายข้อจำกัดของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น
แม้การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านจะเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยเสียส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงกระแสคัดค้านกฎหมายความมั่นคงได้แผ่ลามไปยังประชาชนแทบทุกกลุ่มในเมืองปลาดิบ
ประเด็นสำคัญของชุดกฎหมายความมั่นคงซึ่งกำลังจะถูกส่งต่อไปให้วุฒิสภาลงมติก็คือ ญี่ปุ่นจะสามารถส่งทหารเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพที่ไม่ได้อยู่ภายใต้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ด้วย
แม้พรรคแอลดีพีและพันธมิตรจะกุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา แต่ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ชุดกฎหมายจะถูกตีตก หรือไม่ก็ถูกแก้เนื้อหาบางอย่าง ซึ่งต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อร่างกฎหมายถูกส่งกลับมายังสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายรัฐบาลที่กุมเสียงถึง 2 ใน 3 ก็ยังสามารถโหวตคว่ำเนื้อหาที่ถูกแก้ได้อยู่ดี
อาเบะ ซึ่งเป็นนักการเมืองสายชาตินิยมจัดอ้างว่าต้องการปรับจุดยืนทางทหารของญี่ปุ่นให้กลับสู่ระดับปกติ หลังจากที่ถูกกดโดยรัฐธรรมนูญสันติภาพซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ร่างมานานถึง 70 ปี
เมื่อไม่สามารถโน้มน้าวสังคมให้เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ อาเบะ จึงหันมาใช้วิธี “ตีความ” รัฐธรรมนูญเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับชุดกฎหมายที่เขาจะผลักดัน โดยไม่ใส่ใจคำเตือนของนักวิชาการและนักกฎหมายจำนวนมากที่ชี้ว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ
แม้ผลโหวตของสภาผู้แทนราษฎรจะถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของรัฐบาล แต่ผลสำรวจความคิดเห็นกลับพบว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ปลื้มร่างกฎหมายชุดนี้ ซึ่งพลอยทำให้คะแนนนิยมของ อาเบะ ตกต่ำลงด้วย
ชุดกฎหมายความมั่นคงของ อาเบะ จะเปิดทางให้ญี่ปุ่นส่งกองกำลังออกไปช่วยป้องกันชาติพันธมิตรในต่างแดน หรือที่เรียกว่า “แผนป้องกันร่วม” (collective defense) แม้ความขัดแย้งเหล่านั้นจะไม่ใช่ภัยคุกคามต่อประเทศและพลเมืองญี่ปุ่นโดยตรงก็ตาม ซึ่งนโยบายเช่นนี้ไม่เคยได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลญี่ปุ่นชุดก่อนๆ
ผู้ประท้วงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองวัยกลางคนและผู้สูงอายุมองว่า กฎหมายของ อาเบะ อาจดึงญี่ปุ่นเข้าไปพัวพันกับสงครามของอเมริกาซึ่งอยู่ไกลถึงอีกฟากหนึ่งของโลก ในขณะที่ผู้สนับสนุนกฎหมายชี้ว่า อย่างไรเสียญี่ปุ่นก็ยังถูกปิดกั้นจากการเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งมากกว่าหลายๆ ชาติ พร้อมเตือนให้ทุกฝ่ายนึกถึงสถานการณ์ความมั่นคงในเอเชียที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือที่คาดเดายาก รวมไปถึงการขยายอิทธิพลของจีน