รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขวาติกันพระองค์แรกที่ตรัสเป็นภาษาสเปน ทรงเริ่มต้นการเยือนประเทศในแถบลาตินอเมริกาเป็นเวลา 9 วัน ถึง 3 ประเทศ เอกวาดอร์ โบลิเวีย และปารากวัย เพื่อเป้าหมายต่อสู้กับความยากไร้ในลาตินอเมริกา และการปกป้องโลกจากภาวะโลกร้อน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาจากการใช้สารเคมี และก๊าซคาบอนไดออกไซด์ทำลายชั้นบรรยากาศ และเป็นที่ทราบกันดีว่าแถบอเมริกาเป็นสวรรค์สำหรับการใช้เคมีภัณฑ์ทางการเกษตร
การเสด็จเยือนอย่างเป็นทางการทวีปลาตินอเมริกาของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเริ่มต้นขึ้นในวันอาทิตย์(5) โดยรอยเตอร์รายงานวันนี้(6)ว่า ประเทศที่โป๊ปฟรานซิสทรงเสด็จเยือนนั้นเป็น 3 ประเทศที่เล็กและยากจนที่สุดในภูมิภาคนี้เป็นเวลานาน 9 วันโดยเริ่มจากเอกวาดอร์เป็นประเทศแรกที่พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
“ข้าพเจ้าขอขอบพระทัยในน้ำพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ทรงประทานอนุญาตให้ข้าพเจ้าสามารถเดินทางหวนกลับมาสู่ลาตินอเมริกาแห่งนี้อีกครั้ง และได้อยู่ท่ามกลางพวกท่านทั้งหลายในดินแดนแสนงามเช่นเอกวดอร์แห่งนี้” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตรัสกลางลานบินท่าอากาศยานมาริสคัลซูเคร (Mariscal Sucre) ในเอกวาดอร์หลังจากการเดินทางจากกรุงโรมเป็นระยะเวลาร่วม 13 ชม.
และพระองค์ได้ทักทายและจุมพิตให้พรแก่กลุ่มเด็กและเยาวชนเอกวาดอร์ทั้งชายและหญิงในชุดประจำชาติคอยยืนรับเสด็จอยู่ข้างพรมแดง และหนึ่งในนั้นคือเอลิซาเบธ มัลโดนาโด (Elizabeth Maldonado)วัย 16 ปี ให้สัมภาษณ์แสดงความรู้สึกว่า ไม่คาดฝันว่าจะเป็นจริงที่ได้พบกับโป๊ปฟรานซิส
อย่างไรก็ตามในการเดินทางครั้งนี้ประมุขวาติกันจะทรงไม่เดินทางกลับไปเยือนอาร์เจนตินา ประเทศบ้านเกิดในการเดินทางครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถคาดการณ์ได้ว่า ชาวอาร์เจนตินาจำนวนมากจะเดินทางข้ามพรมแดนเข้าปารากวัยเพื่อร่วมพิธีมิสซาที่นั่น
NBC News สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ภาพข่าวปรากฏเห็นชาวเอกวาดอร์จำนวนมากต่างส่งเสียงร้องทักทาย และดีใจอย่างปลาบปลื้มในระหว่างรถพระที่นั่งไฟฟ้าขนาดเล็กประจำพระองค์ที่สามารถมองเห็นพระองค์ได้จากรอบทิศของสมเด็จพระสันตะปาปาแล่นผ่านผู้คนไปอย่างช้าๆ
สำหรับการเสด็จเยือนเอกวาดอร์ครั้งนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตรัสเรียกร้องให้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอกวาดอร์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศทีมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันเอกวาดอร์ยังคงต้องพึ่งพาการทำเหมืองแร่ และการขุดเจาะน้ำมัน โดยสินค้าทั้งคู่คิดเป็นสัดส่วน 96% ของสินค้าส่งออกไปขายนอกประเทศ
และนอกจากนี้ การเยือนทวีปลาตินอเมริกาของสมเด็จพระสันตะปาปานั้น ตลอดระยะเวลา 9 วันเต็มพระองค์จะเสด็จไปพบปะประชาชนท้องถิ่นในชุมชนต่างๆของทั้ง 3 ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคาทอลิกและยังคงมีกลิ่นไอช่วงยุคอาณานิคมอย่างเหนียวแน่น ซึ่งรวมไปถึงการเสด็จเยี่ยมนักโทษในเรือนจำพัลมาโซลา( Palmasola prison)ของโบลิเวีย และการเสด็จเยือนเมืองบานาโด นอร์เต ( Banado Norte) แหล่งศูนย์กลางชาวบ้านที่ยากไร้ชาวปารากวัย
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า ในวันจันทร์(6) ประมุขแห่งโฮลีซีจะทรงบินไปยังเมืองกวายากิล (Guayaqui) เพื่อทำพิธีมิสซาที่นั่น ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองกีโต (Quito) ซึ่งในวันอังคาร(7) โป๊ปฟรานซิสจะทรงทำพิธีมิสซาที่เมืองแห่งนี้ที่สวนสาธารณะ ไบเซนเตนาริโอ ปาร์ก (Bicentenario Park)ในเอกวาดอร์ ที่มีผู้คนบางส่วนต่างกางเต็นท์จับจองพื้นที่รอการมาของพระองค์แล้ว
และในวันพุธ(8) สมเด็จพระสันตะปาปาจะส่งเสด็จไปยังโบลิเวีย โดยคาดกันว่า โป๊ปฟรานซิสทรงประกาศปกป้องสิทธิของชาวโบลิเวียผู้ยากไร้ที่นั่น นอกจากการเสด็จไปเยือนเรือนจำพัลมาโซลาที่ขึ้นชื่อในด้านความรุนแรงของโบลิเวีย
รอยเตอร์รายงานต่อว่า ปารากวัยเป็นประเทศสุดท้ายที่ประมุขวาติกันจะทรงเสด็จเยือนในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งปารากวัยเป็นประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนลักลอบขนของผิดกฎหมายและของเถื่อนต่างๆ โดยมีการกันว่าโป๊ปฟรานซิสจะทรงพบปะกับนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งที่นี่
เป็นที่น่าสนใจว่า ถึงแม้ว่า ประชาชนรวมกัน 3 ประเทศนั้นจะมีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกสูงถึง 82-93% แต่กลับพบว่า ประชาชนประเทศอื่นๆในแถบลาตินอเมริกาต่างเปลี่ยนใจหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์อีแวนเจลิคซึ่งเป็นนิกายหลัก