รอยเตอร์ / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดี เบญิ คาอิด เอสเซบซี ผู้นำตูนิเซีย ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศในวันเสาร์ (4 ก.ค.) เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลของเขามีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ในการรับมือกับสถานการณ์ไม่ปกติทางด้านความมั่นคง หลังเกิดเหตุโจมตีโดยพวกอิสลามิสต์ที่โรงแรมริมชายหาดแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรถูกสังหารไปถึง 38 ราย
กฎหมายที่ประกาศบังคับใช้ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินนี้จะช่วยเปิดทางให้รัฐบาลตูนิเซีย ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทางด้านความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจก็จะมีอำนาจที่เพิ่มสูงขึ้นในการรับมือกับภัยคุกคาม แม้ต้องแลกมาด้วยการที่เสรีภาพและสิทธิทางกฎหมายบางประการ ของประชาชนชาวตูนิเซียอาจต้องถูกลิดรอนไปบ้าง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทางการตูนิเซียมีขึ้น หลังเกิดเหตุโจมตีบนแหล่งตากอากาศชายทะเลที่ซุสเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ตลอดจนเหตุโจมตีด้วยอาวุธปืนที่พิพิธภัณฑ์บาร์โดในกรุงตูนิส เมืองหลวงของประเทศเมื่อช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งถือเป็นสองเหตุการณ์อุกอาจสะเทือนขวัญฝีมือกลุ่มติดอาวุธที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของตูนิเซีย และถือว่า เป็นภัยคุกคามที่สำคัญยิ่งต่ออุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของตูนิเซีย
ทั้งนี้ ข้อมูลข่าวกรองของทางการตูนิเซีย ระบุว่า มือปืนทั้ง 3 รายที่เป็นผู้ก่อเหตุโจมตีทั้งสองครั้งดังกล่าวได้รับการฝึกมาในช่วงเวลาเดียวกันจากค่ายฝึกของพวกนักรบญิฮัดที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลิเบีย ที่กลายสภาพเป็นดินแดนที่ไร้ขื่อแปจากผลพวงของการแย่งชิงอำนาจกันเองของรัฐบาล 2 ชุดที่ตั้งขึ้นมาเป็นคู่แข่งกัน ส่งผลให้บรรดากลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ใช้โอกาสนี้แผ่ขยายอิทธิพลได้อย่างเต็มที่
รายงานข่าวระบุว่า ครั้งล่าสุดที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในตูนิเซียนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 เมื่อครั้งที่มีการลุกฮือของประชาชนจากผลพวงของปรากฏการณ์ “อาหรับ สปริง” เพื่อขับไล่ประธานาธิบดี ซิเน เอล-อบิดีน เบน อาลี