เอเจนซีส์ – กองกำลังอาวุธท้องถิ่นชาวชีอะต์ระดมกำลังเมื่อวันจันทร์ (18 พ.ค.) เตรียมเข้าช่วยเหลือกองทัพอิรักชิงคืนเมืองรามาดี เมืองเอกของจังหวัดอันบาร์ที่ตกเป็นของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ตั้งแต่วันอาทิตย์ (17) และถือเป็นความเพลี่ยงพล้ำครั้งสำคัญที่สุดทั้งสำหรับแบกแดดและกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการตอกย้ำว่าการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาชนะนักรบญิฮัดสุดโต่งเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ทางด้านกองทัพซีเรียประกาศว่า สามารถยันไอเอสให้ถอยร่นออกไปจากเมืองมรดกโลก “พัลไมรา” ได้อย่างน้อยก็ชั่วคราว
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ไฮเดอร์ อัล-อาบาดี แห่งอิรัก และสหรัฐฯ ต่างลังเลที่จะเรียกนักรบชีอะห์ไปช่วยต้านทานกลุ่มไอเอส ในจังหวัดอันบาร์ ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ที่สุดของอิรัก เนื่องจากเกรงว่า จะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวสุหนี่อาหรับเพื่อแก้แค้น และพอใจที่จะระดมกำลังในท้องถิ่นอันบาร์ไปต่อสู้แทน
แต่พวกหัวหน้ากองกำลังอาวุธท้องถิ่นต่างกล่าวสำทับในวันจันทร์ว่า การเสียเมืองรามาดีแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่อาศัยหน่วยต่างๆ ของ “ป็อปปูลาร์ โมบิไลเซชัน” (ฮาเชด อัล-ชาอาบี) ซึ่งก็คือกองกำลังอาวุธท้องถิ่น
ฮาดี อัล-อเมรี หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธบาดร์ หนึ่งในกองกำลังอาวุธท้องถิ่นกล่าวในวันจันทร์ว่า พวกผู้นำของจังหวัดอันบาร์ ควรยอมรับข้อเสนอเข้าช่วยเหลือของเขาให้เร็วกว่านี้
นอกจากนี้ ยังมีกองกำลังอาวุธท้องถิ่นอีกหลายกลุ่มประกาศว่า ได้รวมกำลังรออยู่ในเขตจังหวัดอันบาร์แล้ว ซึ่งรวมถึงรอบๆเมืองฟอลลูจาห์ และฮับบานิยาห์ พร้อมเข้าชิงเมืองรามาดีคืนจากไอเอส
การเสียเมืองรามาดีที่อยู่ห่างจากแบกแดดไปทางทิศตะวันตก 100 กิโลเมตร เกิดขึ้นหลังจากกองกำลังความมั่นคงชุดสุดท้ายของอิรักทิ้งฐานที่มั่น หลังจากผจญกับระเบิดฆ่าตัวตายหลายระลอกจากไอเอสตั้งแต่วันพฤหัสบดี (14)
โฆษกของผู้ว่าราชการจังหวัดอันบาร์ เผยว่า มีผู้เสียชีวิตราว 500 รายในรามาดีในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และประชาชน 6,000 - 8,000 คนต้องทิ้งถิ่นฐาน
การเสียเมืองรามาดีถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของกองกำลังความมั่นคงของอิรักและกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา และยังเป็นการกระชากวอชิงตันกลับสู่ความจริงอันโหดร้ายหลังจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประกาศอย่างลิงโลดว่า สามารถปลิดชีพอาบู ไซยาฟ ผู้นำอาวุโสที่ดูแลการขายน้ำมันและก๊าซในตลาดมืดให้ไอเอสสำเร็จ
แม้กองทัพอิรักและกองกำลังอาวุธท้องถิ่นของชาวชีอะห์สามารถชิงเมืองติกริต บ้านเกิดของอดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน คืนจากไอเอสเมื่อเดือนที่แล้ว แต่โมซุล เมืองใหญ่ทางเหนือยังอยู่ในการยึดครองของนักรบหัวรุนแรงกลุ่มนี้เช่นเดียวกับอีกหลายเมืองในภาคตะวันตกอิรัก
ทางด้านไอเอสประกาศว่า สามารถยึดรถถังและสังหารสมาชิกกองกำลังความมั่นคงของอิรักหลายสิบรายในรามาดี ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของกลุ่มนี้ในอิรัก ภายหลังถูกรุกไล่จากการร่วมมือร่วมใจของกองทัพแบกแดดและกองกำลังชีอะต์ รวมทั้งปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยอเมริกาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี เพนตากอนพยายามลดผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ต่อภาพรวมปฏิบัติการทางทหารของอิรัก โดยโฆษกหญิง เอลิสซา สมิธ แถลงว่า มีการสู้รบแย่งชิงรามาดีมาตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ก็คือ ไอเอสเป็นฝ่ายได้เปรียบเท่านั้น กองทัพอิรักไม่ได้ปราชัยแก่ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้แต่อย่างใด
สมิธ สำทับว่า เหตุการณ์นี้ยังหมายถึงว่า กลุ่มพันธมิตรจะให้การสนับสนุนอิรักเพื่อชิงเมืองรามาดีคืน และว่า วอชิงตันยังคงให้การสนับสนุนด้วยการโจมตีทางอากาศและให้คำแนะนำแบกแดดอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ อาบู บัคร์ อัล-แบกดาดี ผู้นำสูงสุดของไอเอส เรียกร้องระดมพลครั้งใหญ่ นอกจากพวกเขาเข้าตีรามาดีแล้ว นักรบญิฮัดกลุ่มนี้ได้เข้าประชิดเมืองพัลไมรา เมืองมรดกโลกของซีเรีย กระทั่งองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ต้องออกมาเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันโบราณสถานในเมืองดังกล่าว
ทว่า เมื่อวันอาทิตย์ ตาลัล บาซารี ผู้ว่าราชการจังหวัดพัลไมรา ประกาศว่า สามารถขับไล่ไอเอสออกจากพื้นที่ยึดครองทางเหนือของเมืองแล้ว
อย่างไรก็ดี กลุ่มซีเรียน อ็อบเซอร์วาทอรี ฟอร์ ฮิวแมน ไรต์ส ที่มีฐานอยู่ในลอนดอนเปิดเผยว่า นักรบไอเอสอยู่ห่างจากสถานที่สำคัญทางโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สำคัญของพัลไมราเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น