เอเจนซีส์ – 5 วันหลังจากเครื่องบินโลว์คอสสัญชาติเยอรมัน “เยอรมันวิงส์” เที่ยวบิน 4U 9525 ได้ตกที่เทือกเขาแอลป์ คร่าชีวิตร่วม 150 คนที่อยู่บนเครื่องทั้งหมด ล่าสุดเจ้าหน้าที่สอบสวนฝรั่งเศสเปิดเผยว่าพบตัวอย่าง DNA ของผู้โดยสาร 78 คน แต่ปฏิเสธการรายงานของสื่อเยอรมนีว่ามีการพบชิ้นส่วนร่างกายของแอนเดรียส ลูบิตซ์ ผู้ช่วยนักบินคนขับ ผู้ที่เป็นสาเหตุทำให้เที่ยวบินนี้เกิดอุบัติเหตุ รวมไปถึงไม่แน่ชัดว่า ความเครียดของนักบินผู้ช่วยเกิดจากปัญหาสายตาที่อาจทำให้เขาไม่สามารถขึ้นเป็นนักบินมือหนึ่งของสายการบินลุฟท์ฮันซ่าในอนาคตหรือไม่
บีบีซี สื่ออังกฤษรายงานว่า หลังจากมีข่าวรั่วถึงสื่อในรายงานเสียงที่ถูกบันทึกได้จากกล่องดำของห้องนักบิน ซึ่งปรากฏเสียงตะโกนของนักบินคนขับที่ถูกขังอยู่นอกห้องนักบินว่า “เปิดประตูเฮงซวยนี่เดี่ยวนี้!!!” ทำให้ได้ทราบว่า แอนเดรียส ลูบิตซ์ ผู้ช่วยนักบินคนขับของสายการบินเยอรมันวิงส์จงใจต้องการทำให้เครื่องตก
ในขณะที่สถานการณ์ล่าสุดของการกู้ภัยเที่ยวบิน 4U9525 พบว่า หน่วยกู้ภัยสามารถเข้าถึงสถานที่เกิดเหตุที่อยู่ข้างเทือกเขาแอลป์ได้ทางเท้า หรือไม่ก็ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น คนเหล่านี้ค้นหาชิ้นส่วนร่างของผู้เสียชีวิต และเศษชิ้นส่วนของเครื่องบินที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนั้น รวมถึงข้อมูลบันทึกการบินที่ยังคงสูญหาย ซึ่งมีการยืนยันถึงการพบตัวอย่าง DNA ของผู้โดยสาร 78 คนจากทั้งหมด 150 คน หลังจากทีมกู้ภัยได้พบร่างชิ้นส่วนผู้เสียชีวิตราว 400-600 ชิ้น และเจ้าหน้าที่สอบสวนยังปฎิเสธการรายงานของสื่อเยอรมนีก่อนหน้านี้ที่อ้างว่า ได้มีการพบร่างชิ้นส่วนของผู้ช่วยนักบินคนขับ
ในขณะที่บริซ โรแบ็ง (Brice Robin) อัยการเมืองมาร์กเซย์ ฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ถนนที่จะเข้าถึงสถานที่เครื่องตกนั้นได้เริ่มสร้างขึ้นเพื่อทำให้ยานยนต์ต่างๆ จะสามารถเดินทางถึงที่เกิดเหตุได้ก่อนหน้านี้ และถนนเส้นนี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายในเย็นวันนี้ (30)
สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า บิลด์ หนังสือพิมพ์เยอรมนีได้ตีพิมพ์เผยแพร่บทสนทนาของช่วงนาทีเกือบท้ายๆของเที่ยงบิน 4U9525 ที่ถูกเก็บบันทึกในกล่องดำ แต่อย่างไรก็ตามสื่ออังกฤษชี้ว่า บทสนทนานี้ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้จากหน่วยงานอิสระ ซึ่งบนหน้าสื่อเยอรมนีบทสนทนาแสดงว่า กัปตันเครื่องบินเยอรมันวิงส์ แพทริก ซอนเดินไฮเมอร์ ได้บอกลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วยที่อยู่ภายในห้องนักบินว่า เขาไม่มีโอกาสได้เข้าห้องน้ำก่อนที่จะนำเครื่องขึ้นเทกออฟได้ และทำให้นักบินผู้ช่วยตอบกลับมาว่า กัปตันสามารถทำธุรส่วนตัวได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และดังนั้นทำให้ซอนเดินไฮเมอร์ตอบกลับไปว่า “เช่นนั้น ขอให้คุณรับช่วงต่อแล้วกัน”
และสื่อเยอรมนีรายงานเพิ่มเติมว่า ดูเหมือนลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วยวัย 27 ปี ปฎิเสธไม่ให้กัปตันเครื่องบินกลับเข้าไปในห้องนักบินคนขับหลังจากนั้น และกล่องดำแสดงให้เห็นถึงเสียงทุบประตูห้องนักบินอย่างแรง พร้อมกับเสียงตะโกนของซอนเดินไฮเมอร์ว่า “เห็นแก่พระเจ้าเถอะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!!”
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์บิลด์ยังชี้ว่าดูเหมือนว่ากัปตันนักบินจะพยายามเปิดประตูห้องคนขับด้วยขวาน และดูเหมือนว่าผู้โดยสารบนเครื่องจะเริ่มกรีดร้องในขณะที่นักบินคนขับประจำเครื่องตะโกนอ้อนวอนให้นักบินผู้ช่วยเปิดประตู
และเจ้าหน้าที่สอบสวนฝรั่งเศสได้ยินเสียงเครื่องบินชนยอดเขาแอลป์ดังชัดเจน ก่อนจะสิ้นเสียงหวีดร้องครั้งสุดท้าย
ในขณะที่เริ่มมีการเรียกร้องให้มีการสอบสวนคดีเยอรมันวิงส์อย่างเต็มรูปแบบก่อนที่จะมีการเปิดเผยผลสรุปอย่างเป็นทางการ สมาพันธ์นักบินแอลป์ได้ชี้ว่า บันทึกข้อมูลการบินยังคงสูญหาย และทำให้การตกครั้งนี้จะสามารถสอบสวนได้อย่างครบถ้วนก็ต่อเมื่อได้ข้อมูลสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
ด้านสมาพันธ์ค็อกพิตยุโรประบุว่า การเปิดเผยข้อมูลเสียงที่ถูกบันทึกในห้องนักบินคนขับเป็นการละเมิดขั้นร้ายแรงของกฎการบินนานาชาติที่มีการตกลงยอมรับ และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ยังมีคำถามอีกมากที่ยังต้องการคำตอบ
สื่ออังกฤษรายงานว่า มีรายงานปัญหาด้านสุขภาพจิตของนักบินผู้ช่วย และหนังสือพิมพ์สหรัฐฯ นิวยอร์กไทม์ ได้รายงานถึงปัญหาสายตาของลูบิตซ์ที่เกี่ยวกับเรตินาเป็นครั้งแรกนั้น สื่อเยอรมนีได้รายงานไว้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่ายังไม่ปรากฎว่าอะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูบิตซ์ได้ขอรับการรักษาทางการแพทย์ และเป็นจริงหรือไม่
จากรายงานที่ว่า ลูบิตซ์นักบินผู้ช่วยเกิดความเครียดเนื่องจากปัญหาข้อบกพร่องด้านสายตามีผลต่อความฝันของนักบินผู้ช่วยวัย 27 ปีที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นกัปตันขับเครื่องบินระยะทางไกลของสายการบินลุฟต์ฮันซา
บริษัทลุฟท์ฮันซ่าที่เป็นบริษัทแม่ของเยอรมันวิงส์เปิดเผยว่า การฝึกของลูบิตซ์ได้หยุดลงกะทันหัน แต่ได้กลับเริ่มการฝึกต่ออีกครั้งหลังจากนักบินผู้ช่วยผู้นี้มีความพร้อมสมบูรณ์ในการเข้ารับการฝึกต่อได้
และญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตยังคงเดินทางไปที่เกิดเหตุ อิปเปอิ ยามานากะ (Ippei Yamanaka) เพื่อนร่วมงานของเหยื่อผู้เสียชีวิต จุนอิจิ ซาโต (Junichi Sato) ได้เปิดเผยกับเอพีว่า “ภรรยาของเพื่อนร่วมงานของเขากล่าวว่า ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เกิดขึ้น และกล่าวว่ายังรู้สึกเหมือนว่า สามีของเธอกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางไปติดต่อทำธุรกิจ และจะเดินทางกลับในเร็ววันนี้”