xs
xsm
sm
md
lg

โมเดลเดี้ยงของบริษัทน้ำมันยักษ์โลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ไมเคิล ที แคลร์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Big oil’s broken model
By Michael T Klare
13/03/2015

สารพันเหตุผลถูกนำขึ้นอธิบายวิกฤตราคาน้ำมันถล่มทลายดิ่งเหว แต่มีอยู่เหตุผลหนึ่งที่ยังไม่มีใครนำมาถกเถียงกัน และอาจเป็นสาเหตุสำคัญเหนือทุกสาเหตุ คือ การล่มสลายสิ้นเชิงของโมเดลธุรกิจแบบผลิตเต็มพิกัด โดยพวกบริษัทน้ำมันรายยักษ์ระดับโลก

สารพันเหตุผลถูกนำขึ้นอธิบายวิกฤตราคาน้ำมันถล่มทลายดิ่งเหวลงสู่ระดับประมาณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือเกือบจะครึ่งหนึ่งของระดับราคาเมื่อหนึ่งปีที่แล้วนี้เอง เมื่อรวบรวมชุดคำอธิบายทั้งปวง อาจแจกแจงได้ 4-5 กลุ่ม ดังนี้

1.ความต้องการใช้น้ำมันอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจชะงักงันทั่วโลก

2.การผลิตน้ำมันมากเกินความต้องการอย่างสุดๆ ในแปลงน้ำมันชั้นหินดินดานของสหรัฐอเมริกา

3.นโยบายของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ตลอดจนรัฐบาลของหลายๆ ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันกลุ่มโอเปกย่านตะวันออกกลาง ว่าจะไม่ลดระดับปริมาณการผลิตที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (โดยอาจประมาณการได้ว่า เพื่อลงโทษบรรดาผู้ผลิตน้ำมันด้วยต้นทุนสูงลิ่วในสหรัฐอเมริกาและย่านอื่นทั่วโลก ซึ่งล้วนแต่กระหน่ำผลผลิตเข้าท่วมตลาดโลกปีแล้วปีเล่าอย่างต่อเนื่อง)

4.การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลต่างๆ

5.ทั้งนี้ มีอยู่เหตุผลหนึ่งที่ยังไม่มีใครนำมาถกเถียงกัน และอาจเป็นสาเหตุสำคัญเหนือทุกสาเหตุ คือ การล่มสลายสิ้นเชิงของโมเดลธุรกิจแบบผลิตเต็มพิกัดโดยพวกบริษัทน้ำมันรายยักษ์ระดับโลก

นับถึงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วอันเป็นห้วงเวลาที่ภาวะถดถอยของราคาน้ำมันโลก สะสมโมเมนตัมได้ที่แล้วนั้น เหล่าบริษัทน้ำมันรายยักษ์ของโลกล้วนแต่สูบน้ำมันออกมาสุดกำลังการผลิตเต็มพิกัดทุกวัน โดยเป็นไปเพื่อสร้างกำไรจากการที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นไปสูงลิ่วนั่นเอง ทั้งนี้ ตลอด 6 ปีก่อนหน้านั้น ระดับราคาน้ำมันดิบเบรนท์อันเป็นราคาอ้างอิงที่ยึดถือกันทั่วโลก เคลื่อนไหวบริเวณ 100 ดอลลาร์หรือสูงกว่า แต่ยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกไม่ได้ครั่นคร้ามถึงกลไกราคา พากันเดินหน้าปั๊มน้ำมันออกท่วมตลาดตามโมเดลธุรกิจที่มองว่าความต้องการบริโภคน้ำมันจะขยายเพิ่มไม่เต็มไม่อิ่ม

ดังนั้น ไม่ว่าต้นทุนการขุดเจาะ/การกลั่นน้ำมันของยักษ์ใหญ่จะแพงมหาศาลปานใด พวกเขาก็ตะลุยผลิตน้ำมันออกป้อนตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้มีแหล่งน้ำมันใดหลุดรอดจากระบบขุดเจาะของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่ห่างไกลหรือยากเข็ญราวใด ไม่ว่าจะเป็นแหล่งในทะเลน้ำลึกแค่ไหน หรือแหล่งใต้ผิวพิภพที่ต้องบุกลงไปอย่างทุระกันดารเพียงใด เหล่ายักษ์ใหญ่น้ำมันโลกก็จะตามไปปั๊มเอาน้ำมันออกมาขายทำกำไรอย่างบ้าคลั่ง

ในหลายปีที่ผ่านมา ยุทธศาสตร์การผลิตน้ำมันสูงสุดนี้ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่พวกยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกในระดับมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติการเงินของพวกเขา

เอ็กซอนโมบิล ยักษ์ใหญ่น้ำมันซูเปอร์บิ๊กสูงสุดที่ตั้งฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา สร้างกำไรก้อนมหึมาชนิดที่ใครได้ยินก็ตาลุกวาว เฉพาะตัวเลขปี 2013 ปีเดียวยังสามารถทำกำไรมากถึง 32,600 ล้านดอลลาร์ สูงลิ่วกว่าบริษัทสัญชาติอเมริกันทุกราย ยกเว้นไว้เพียงบริษัทแอปเปิลเท่านั้น

ค่ายเชฟรอน ยักษ์ใหญ่น้ำมันซูเปอร์บิ๊กเบอร์สองสัญชาติอเมริกัน ประกาศผลกำไรที่ระดับ 21,400 ล้านดอลลาร์ ในปี 2013

ค่ายยักษ์กลุ่มภาครัฐ อาทิ ซาอุดิ อารามโก ของซาอุดิอาระเบีย และ รอสเนฟต์ ของรัสเซีย ก็สามารถเก็บเกี่ยวกำไรใหญ่ยักษ์ดั่งช้างแมมมอธได้เช่นกัน

รูปการเลอเลิศเหล่านี้ตีลังกาพลิกผันได้อย่างไรภายในห้วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนได้อย่างไรหนอ

ด้วยปัญหาความชะงักงันด้านอุปสงค์ บวกกับสถานการณ์การผลิตล้นเกิน ยุทธศาสตร์ธุรกิจที่ค่ายน้ำมันใหญ่ยักษ์ทั้งปวงยึดมั่นเพื่อสร้างผลกำไรสูงเวอร์ จึงปุบปับพลิกคว่ำ กลายเป็นอะไรที่พิกลพิการอย่างที่ยากจะเยียวยาแก้ไข

ในอันที่จะเข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมชาติแห่งความเดี้ยงพิกลพิการในอุตสาหกรรมพลังงานโลก เราจะต้องย้อนไปศึกษาความเป็นมาเมื่อหนึ่งทศวรรษที่แล้ว คือรูปการณ์เมื่อปี 2005 อันเป็นห้วงเวลาแรกเริ่มในการนำยุทธศาสตร์การผลิตสูงสุดมาใช้

ณ ปี 2005 นั้น บรรดายักษ์ใหญ่น้ำมันโลกเผชิญกับทางแพร่งแห่งวิกฤตครั้งร้ายแรง

ในด้านหนึ่ง พวกแหล่งน้ำมันจำนวนมากที่ถูกดูดน้ำมันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ได้ตกสู่สภาพแห้งเหือด ทำให้นานาผู้เชี่ยวชาญตบเท้ากันทำนายตักเตือนไปถึงสถานการณ์อันตรายว่า การผลิตน้ำมันโลกใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว และหลังจากนั้นศักยภาพการผลิตจะถดถอยอย่างชนิดที่ไม่อาจพลิกผันรูปการณ์กลับคืนดีมาได้

ในอีกด้านหนึ่ง การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ตลอดจนชาติกำลังพัฒนาอื่นๆ จะส่งผลให้อุปสงค์ต่อน้ำมันจากฟอสซิลกระฉูดขึ้นเสียดฟ้าระดับสตราโทสเฟียร์กันเลยทีเดียว ทั้งนี้ ในช่วงใกล้ๆ กับปี 2005 ความวิตกต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังติดกระแสได้ที่ และเป็นปัจจัยคุกคามอนาคตของเหล่าซูเปอร์บิ๊กของอุตสาหกรรมน้ำมัน พร้อมกับกดดันให้ต้องลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกทั้งปวง

ตะลุยสู่โลกวิไลซ์ Brave New World เข้าให้ถึงแหล่งน้ำมันมหาหิน

ผู้ที่อธิบายสถานการณ์ของโลกช่วงนั้นได้ดีที่สุดน่าจะเป็นเดวิด โอ’ ไรล์ลี ประธานและซีอีโอค่ายเชฟรอน ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงแห่งวงการน้ำมันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า

“อุตสาหกรรมของเราอยู่ ณ จุดแห่งความหลากหลายเชิงยุทธศาสตร์ อันเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของพวกเรา” แปลเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า จะต้องจัดวางยุทธศาสตร์กันใหม่ แต่มีทางให้เลือกมากมายโดยที่คนตัดสินใจนั้นหวั่นว่าจะเลือกผิดทาง

“องค์ประกอบที่เด่นชัดที่สุดของสมการใหม่นี้คือ เมื่อคำนึงถึงอุปสงค์แล้ว น้ำมันจะไม่ใช่อุปทานอันเหลือเฟืออีกต่อไป” โอ’ ไรล์ลีกล่าวไว้อย่างนั้น พร้อมกับบอกว่าแม้จีนเดินหน้าสกัดเอาน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติมาใช้ในอัตราผลุบๆ โผล่ๆ แต่เขาขอบอกแก่สหรัฐฯ และนานาชาติทั่วโลกว่า “ยุคแห่งการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายๆ นั้น หมดสิ้นลงแล้ว”

เหล่านี้เป็นคำกล่าวที่นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยนำมาขนานนามว่าเป็นคำปราศรัยถึงโลกวิไลซ์ “Brave New World” ของโอ’ ไรล์ลี

ทั้งนี้ เจ้าตัวขยายความว่าการจะรุ่งเรืองสืบเนื่องไปได้ภายในสภาพการณ์เช่นนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันจะต้องนำเอายุทธศาสตร์ใหม่มาใช้ โดยจะต้องมองไกลออกไปกว่าการติดอยู่กับแหล่งน้ำมันที่เข้าถึงได้ง่ายที่เคยเป็นตัวจักรกลสร้างกำไรเมื่อในอดีต และจะต้องลงทุนอย่างมหาศาลในการขุดเจาะน้ำมันในแหล่งที่ไม่ใช่แบบธรรมดา ซึ่งจะขอเรียกว่าแหล่งน้ำมันที่ได้มาด้วยวิธีอันยากลำบาก ได้แก่

แหล่งทรัพยากรซึ่งอยู่ไกลออกไปกลางทะเลลึก ซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมอันตรายของย่านตอนเหนือ(ของสหรัฐฯ) ซึ่งอยู่ในดินแดนเสี่ยงภัยเชิงการเมืองเช่นพื้นที่ของประเทศอิรัก ซึ่งอยู่ในรูปของหินผายากจะเข้าถึงเช่นแหล่งน้ำมันใต้ย่านหินดินดาน

โอ’ไรล์ลียืนยันว่า “ซัปพลายน้ำมันในอนาคตนั้นจะต้องไปหาเอาในน่านน้ำทะเลลึกสุดแสน ตลอดจนพื้นถิ่นอันห่างไกลอื่นๆ และต้องดำเนินโครงการพัฒนาที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่กับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ที่ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์”

สำหรับขาใหญ่ซูเปอร์บิ๊กของวงการอย่างโอ’ไรล์ลี วิสัยทัศน์ที่เขามีนั้น นับได้ว่าแจ่มแจ้งนัก กล่าวคือ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการน้ำมันโลกไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินหน้าต่อไปในอนาคต นอกเหนือจากแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำมันประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดา แม้จะต้องทุ่มเงินลงทุนเข้าไปชนิดที่โลกสะท้านแผ่นดินสะเทือน อุตสาหกรรมน้ำมันโลกจำจะต้องลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์ในโครงการขุดเจาะน้ำมันประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดา หาไม่ก็จะต้องสูญเสียความได้เปรียบในฐานะเจ้าตลาดน้ำมันโลกพร้อมเปิดทางให้แก่เศรษฐีหน้าใหม่ที่จะนำพลังงานแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมันจากฟอสซิล มาเสนอขายพลโลก และในสภาพการณ์เช่นนั้น พวกขาใหญ่ซูเปอร์บิ๊กเหล่านี้ก็จะพบว่าท่อดูดเม็ดเงินกำไรของพวกเขาถึงแก่กาลเหือดแห้งไปพร้อมกับแหล่งน้ำมันที่จะหมดน้ำยาในอนาคตอันใกล้

จริงอยู่ ต้นทุนการขุดเจาะน้ำมันประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดาย่อมจะแพงเวอร์น่าปวดใจกว่าการขุดเจาะจากแหล่งน้ำมันเข้าถึงง่ายทั่วไป (นี้ยังไม่นับรวมถึงกรณีการเข้าไปดูดน้ำมันจากพื้นที่อันตรายเชิงภูมิประเทศและเชิงการเมือง) อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเหล่านี้ย่อมถูกผลักไปอยู่ที่กระเป๋าของผู้บริโภค และจึงเป็นปัญหาของโลก มิใช่ปัญหาของบริษัทน้ำมัน

“เมื่อเราร่วมมือกัน เราจะก้าวขึ้นไปเผชิญกับปัญหาและความท้าทายนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันจะทำการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อสร้างศักยภาพการผลิตใหม่ที่จะนำไปสู่การผลิตแห่งอนาคต” ซีอีโอแห่งเชฟรอนประกาศอย่างนั้น

บนพื้นฐานดังกล่าว เมกก้ายักษ์ค่ายต่างๆ ได้แก่ เชฟรอน เอ็กซอน และรอยัล ดัตช์ เชลล์ และขาใหญ่ค่ายอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งก็ได้ลงทุนวงเงินมโหฬาร อีกทั้งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมหาศาลไปกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายศักยภาพการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดา อันเป็นตำนานพิสดารที่ได้จารึกไว้ในหนังสือเรื่อง “การแข่งขันแย่งชิงสิ่งที่เหลืออยู่”

หลายค่าย อาทิ เชฟรอน และเชลล์ ประเดิมขุดเจาะที่แหล่งทะเลลึกในอ่าวเม็กซิโก ค่ายอื่นๆ รวมทั้ง เอ็กซอน ไปเปิดปฏิบัติการในภูมิภาคอาร์กติกและฝั่งตะวันออกของไซบีเรีย ทั้งนี้ ทุกรายเปิดศักราชการขุดเจาะน้ำมันในชั้นหินดินดานด้วยเทคโนโลยี hydro-fracking

แต่มีซูเปอร์บอสค่ายหนึ่งที่คลางใจกับแนวทางเดินหน้าขุดเจาะกันสุดๆ เลยที่รัก นั่นคือ จอห์น บราวน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งซีอีโอค่ายบีพี โดยชี้ว่าวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นอะไรที่จริงจังเกินจะปฏิเสธได้ บราวน์จึงเป็นฝ่ายค้านกระแส และยืนยันว่าค่ายยักษ์น้ำมันโลกจะต้อง “มองไกลออกไปจากปิโตรเลียม” และทุ่มเททรัพยากรส่วนใหญ่ลงไปยังแหล่งซัปพลายพลังงานทางเลือก

“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นซึ่งแตะไปถึงคำถามขั้นพื้นฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับสังคมโดยรวม อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นหนึ่งกับคนรุ่นถัดไป” บราวน์ประกาศไว้เมื่อต้นปี 2002 สำหรับค่ายบีพีแล้ว เขาระบุว่ามันคือการพัฒนาพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และเชื้อเพลิงชีวภาพ

อย่างไรก็ตาม บราวน์ออกจากบีพีในปี 2007 อันเป็นช่วงที่โมเดลธุรกิจว่าด้วยการผลิตสูงสุดของเหล่ายักษ์ใหญ่น้ำมันได้ลงมือตะกุยเปลือกโลกไปทั่วแล้ว ในการนี้ ผู้นำแห่งค่ายบีพีรายถัดจากบราวน์ คือ โทนี่ เฮย์เวิร์ด ก็รีบผละจากแนวทาง “มองไกลออกไปจากปิโตรเลียม” เขากล่าวในปี 2009 ว่า “บางท่านอาจถามว่าการเติบโตของพลังงานโลกจะต้องมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมากเพียงใด แต่ในที่นี้มันเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราจะต้องเผชิญกับความจริงอันร้ายกาจว่าด้วยปัญหาพลังงานมีเพียงพอต่อความต้องการ” แม้จะย้ำกันมากถึงพลังงานที่ยั่งยืน “เรายังมองไปข้างหน้าว่า 80% ของพลังงานต้องมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี 2030”

ภายใต้การนำของเฮย์เวิร์ด สำหรับโครงการวิจัยรูปแบบพลังงานทางเลือกนั้น บีพีชะงักไว้เป็นส่วนใหญ่ พร้อมยืนยันนโยบายเดินหน้าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยที่เป็นฝ่ายเดินตามรอยเท้าของค่ายยักษ์อื่นๆ บีพีเร่งรุดเข้าสู่ทั้งย่านอาร์กติก ทั้งทะเลลึกในอ่าวเม็กซิโก ทั้งทรายน้ำมันในแคนาดา

ในความพยายามที่จะขับเคลื่อนขึ้นเป็นผู้ผลิตชั้นน้ำในอ่าวอาหรับ บีพีเร่งรุดเข้าไปสำรวจแหล่งน้ำมันย่านน่านน้ำทะเลลึกนอกชายฝั่งซึ่งมีชื่อว่ามาคอนโด อันเป็นจุดก่อเกิดประวัติศาสตร์ด่างพร้อยของวงการน้ำมันที่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก คือเหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิดที่ดีพวอเตอร์ ฮอไรซัน ในเดือนเมษายน ปี 2010 โดยมีการรั่วไหลของน้ำมันปริมาณมหาศาลปรากกเป็นคราบน้ำมันบนผิวน้ำกระจายออกไปอย่างกว้างขวางและปนเปื้อนชายฝั่งของสหรัฐฯ กว่าหนึ่งพันกิโลเมตร พร้อมกับทำลายสมดุลของชีวิตในน่านน้ำ ขณะที่อุตสาหกรรมประมงก็ย่อยยับ

กระโจนดิ่งหน้าผาซะงั้น

ณ ปลายทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 กลุ่มยักษ์ใหญ่น้ำมันผนึกกำลังกันในนโยบายการผลิตสูงสุด และแนวทางเดินหน้าขุดเจาะกันสุดๆ เลยที่รัก โดยได้มีการลงทุนนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อันสมบูรณ์แบบมาใช้ขุดเจาะน้ำมันที่เข้าถึงยากเย็นเข็ญจิต และสามารถเอาชนะปัญหาแหล่งน้ำมันเข้าถึงง่ายๆ แต่ทะยอยกันแห้งเหือด ในวันคืนหวานชื่นเหล่านั้น จอมพลังแห่งวงการน้ำมันโลกสามารถทวียอดการผลิตได้อย่างน่าทึ่ง พร้อมกับนำแหล่งน้ำมันสำรองซึ่งยากจะเข้าถึงสาหัสขั้นเทพ เข้าสู่โลกออนไลน์

ตามข้อมูลของสำนักงานข้อมูลพลังงาน หรือ อีไอเอ - - Energy Information Administration ในสังกัดกระทรวงพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา ผลผลิตน้ำมันโลกเพิ่มทะยานจากระดับ 85.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2005 แตะระดับ 92.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2014 แม้ว่าในช่วงปีเหล่านั้น แปลงน้ำมันมากมายในอเมริกาเหนือ และในตะวันออกกลาง ทะยอยกันลดน้อยถดถอยลง

ด้านบ็อบ ดัดลีย์ ซีอีโอคนล่าสุดของบีพีย้ำความมั่นใจของโลกเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาว่า เหล่ายักษ์ใหญ่น้ำมันโลกได้ตะลุยไปในสารพัดพื้นถิ่น และขอบอกว่าสิ่งเดียวที่ถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็คือตัวทฤษฎีที่ว่าการผลิตน้ำมันโลกใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว

แน่นอนว่าคำประกาศดังกล่าวลั่นออกจากปากในช่วงก่อนที่ระดับราคาน้ำมันจะกระโจนดิ่งหน้าผาลงมา พร้อมกับนำมาซึ่งคำถามที่ตรวจสอบถึงความชาญฉลาดของนโยบายปั๊มน้ำมันออกมาในปริมาณสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การผลิตน้ำมันสูงสุดของโอ’ไรล์ลีและสหายซีอีโอของเขานั้น ตั้งบนเงื่อนไขพื้นฐาน 3 ประการคือ

1.อุปสงค์น้ำมันจะไต่สูงขึ้นปีแล้วปีเล่า

2.อุปสงค์ที่ทะยานขึ้นมาจะทำให้มั่นใจว่าราคาน้ำมันจะสูงลิ่วยั่งยืนเพียงพอจะทำให้คุ้มแก่การลงทุนอันแสนแพงเพื่อขุดเจาะน้ำมันประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดา

3.กระแสความวิตกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะไม่ร้อนแรงขึ้นมาก จนทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสมการ

และแล้ว ณ วันนี้ ไม่มีสมมุติฐานใดที่ทรงตัวอยู่รอดเลย

เป็นธรรมดาที่อุปสงค์จะเดินหน้าขยายตัว เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงประมาณการอัตราเติบโตในโลกทั้งด้านรายได้และประชากร แต่อัตราการขยายตัวของอุปสงค์ที่ว่านี้ มิใช่อัตราเดียวกับที่พวกยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกเคยชิน ทั้งนี้ โปรดพิจารณาตามนี้:

ในปี 2005 เมื่อหลายหลากการลงทุนรายการใหญ่ๆ ในการขุดเจาะน้ำมันประเภทที่ไม่ใช่แบบธรรมดา เปิดฉากดำเนินการกันแล้ว อีไอเอให้ประมาณการว่าความต้องการบริโภคน้ำมันของโลกจะขยายไปถึงระดับ 103.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2015 แต่ในตอนนี้ อีไอเอลดตัวเลขปี 2015 ลงเหลือเพียง 93.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น 10 ล้านต่อวันซึ่งหายไปนั้น อาจจะดูว่าไม่มากมายเมื่อเทียบกับตัวเลขรวมทั้งหมด แต่ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเข้าไปปั๊มน้ำมันเข้าถึงยากนั้น เหล่ายักษ์ใหญ่น้ำมันตั้งสมมุติฐานว่าพวกตนจะมีตลาดรอซื้อน้ำมันแบบที่โตวันโตคืนไม่รู้เต็มรู้อิ่ม พร้อมกับทำให้ราคาน้ำมันอันแพงจับจิตสามารถคุ้มค่ากับต้นทุนการขุดเจาะที่ทะยานขึ้นเรื่อยไป

มาถึงต่อนี้ ในเมื่อประมาณการทั้งหลายล้วนบ่งบอกว่าอุปสงค์น้ำมันมีแต่ละปลาสนาการไป ระดับราคาน้ำมันโลกจึงย่อมจะเสื่อมถอยและถล่มทลายลงมา

ตัวชี้วัดในปัจจุบันบ่งบอกว่า ระดับการบริโภคน้ำมันจะต่ำกว่าประมาณการในหลายๆ ปีข้างหน้า ในการประเมินแนวโน้มต่อไปของน้ำมันที่เผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2015 อีไอเอ รายงานว่าเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลกเสื่อมทราม หลายประเทศจะประสบกับปัญหาอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว หรือไม่ก็ปัญหาการลดระดับการบริโภค

จีนเป็นกรณีตัวอย่างที่ดีมาก ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนยังคืบตัวขึ้นได้ทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง การบริโภคน้ำมันในจีนถูกประมาณการว่าจะขยายตัวได้แค่ประมาณ 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ถึงปีหน้า - - ต่ำมากเมื่อเทียบกับที่เคยขยายตัวในอัตรา 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อปี 2011-2012 และอัตรา 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2010 นอกจากนั้น ในกรณีของยุโรปและญี่ปุ่น มีการทำนายว่าระดับการบริโภคน้ำมันจะหดตัวลงตลอด 2 ปีข้างหน้า

ภาวะชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันมีแนวโน้มจะยืดเยื้อไปเกินกว่าปี 2016 มากมายเลย นี้เป็นประมาณการของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือ ไออีเอ - International Energy Agency ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี ซึ่งเป็นสโมสรของประดาประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวยของโลก โดยไออีเอทำนายว่าขณะที่ราคาน้ำมันซึ่งลดต่ำลง อาจกระตุ้นการบริโภคขึ้นมาในสหรัฐฯ และในหลายประเทศ แต่ประเทศอื่นส่วนใหญ่จะไม่มีการบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นมา ดังนั้น “ภาวะถดถอยของราคาน้ำมันที่ผ่านมาน่าจะมีผลกระทบเพียงน้อยนิดต่อการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันโลกตลอดหลายปีที่เหลือของทศวรรษนี้”

ไออีเอเชื่อว่าราคาน้ำมันโลกจะเคลื่อนไหวที่ระดับเฉลี่ยประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2015 และจะไม่สามารถกลับขึ้นสู่ระดับ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจนกว่าจะถึงปี 2020

ระดับราคาประมาณนั้น นับว่าต่ำมาก เกินกว่าจะไปคุ้มค่ากับการเดินหน้าลงทุนผลิตน้ำมันด้วยระบบอันแพงระยับในอันที่จะแปลงทรายน้ำมันในแคนาดามาเป็นพลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน หรือที่จะไปขุดเจาะในถิ่นทุรกันดารของทวีปอาร์กติก ตลอดจนโครงการขุดเจาะน้ำมันใต้ชั้นหินดินดานทั้งปวง

อันที่จริงแล้ว ข่าวที่ปรากฏในสื่อด้านการเงิน ล้วนเต็มไปด้วยรายงานว่าด้วยการระงับยกเลิกโครงการพลังงานไซส์เมกก้าโปรเจ็กต์ ตัวอย่างคือ เชลล์ซึ่งประกาศในเดือนมกราคมว่า ได้ทิ้งโคงการสร้างโรงงานปิโตรเคมีมูลค่า 6,500 ล้านดอลลาร์ในกาต้าร์แล้ว โดยอ้างถึง “สภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ครอบคลุมไปทั่วอุตสาหกรรมน้ำมัน” ในเวลาเดียวกัน เชฟรอนก็พับโครงการขุดเจาะในทะเลโบฟอร์ดแห่งน่านน้ำลึกอาร์กติกขึ้นหิ้งแล้ว ส่วนค่ายสตัทออยล์ของนอร์เวย์ได้หันหลังกลับออกจากปฏิบัติการขุดเจาะน้ำมันในกรีนแลนด์เป็นที่เรียบร้อย

ส่วนสำหรับอีกปัจจัยหนึ่งที่คุกคามความอยู่ดีมีสุขของพวกยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันโลก กล่าวคือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอะไรที่ไม่อาจมองข้ามถึงอิทธิพลที่จะมีต่ออนาคตของโมเดลธุรกิจพลังงาน สารพัดแรงกดดันให้แก้ไขปรากฏการณ์ที่อาจทำลายล้างอารยธรรมแห่งมนุษยชาติ นับวันแต่จะขยายความรุนแรงมากขึ้น

แม้พวกยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกได้หว่านเงินทองมหาศาลไปรณรงค์สร้างกระแสเคลือบแคลงต่อศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้คือ ผู้คนทั่วโลกพากับหวั่นวิตกกับผลกระทบจากปัญหานี้มากขึ้นเรื่อย เพราะปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงเร่งความถี่ที่จะแสดงตัวออกมา ไม่ว่าจะเป็นพายุอันรุนแรงสุดแสน ภาวะแล้งอันร้ายกาจอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน ปัญหาระดับน้ำทะเลขึ้นสูงน่าตกใจ ฯลฯ ส่งผลกดดันให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ต้องออกโรงดำเนินการเพื่อลดระดับความรุนแรงของภัยคุกคามเหล่านี้

ยุโรปได้นำแผนแก้ปัญหามาใช้แล้ว โดยการรณรงค์ลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ 20% ในระหว่างปี 1990 – 2020 และจะขยายเป้าหมายให้ยิ่งๆ ขึ้นไปในทศวรรษต่างๆ ภายภาคหน้า

จีนซึ่งแม้จะยังเพิ่มการพึ่งพิงในเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ในที่สุดก็ลั่นวาจาจะตรึงการขยายตัวด้านการปล่อยคาร์บอนไม่ให้เพิ่มขึ้นภายในปี 2030 และจะเพิ่มแหล่งพลังงานทดแทนขึ้นมาเป็น 20% ของการใช้พลังงานในปัจจุบันภายในปีดังกล่าว

ส่วนสหรัฐฯ มาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานในยานยนต์จะกำหนดว่ารถยนต์ที่วางตลาดในปี 2025 จะต้องสามารถใช้น้ำมันในอัตรา 54.5 ไมล์ต่อแกลลอนโดยเฉลี่ย และจะส่งผลไปลดการบริโภคน้ำมันลงได้ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (แน่นอนว่า พวกรีพับลิกันที่ครองรัฐสภา และเป็นพวกที่ได้รับอัดฉีดมหาศาลจากเหล่ายักษ์ใหญ่น้ำมันโลก จะทำทุกสิ่งอย่างเพื่อกำจัดความพยายามลดการบริโภคเชื้อเพลิงจากฟอสซิล)

กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะลุกขึ้นแก้ไขป้องกันภยันตรายแห่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกันอย่างเพียงพอหรือไม่ ปัญหาเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ปรากฏในแผนด้านพลังงานกันแล้ว และอิทธิพลของมันต่อผู้กำหนดนโยบายในแต่ละแห่งทั่วโลก ก็นับวันแต่จะทวีตัวขึ้นไป ไม่ว่าพวกยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกจะพร้อมหรือไม่ที่จะยอมรับต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม่ ประเด็นว่าด้วยพลังงานทางเลือกได้ยึดหัวหาดอยู่ในกรอบการวางอนาคตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีทางที่ใครจะตีจากออกไป

“มันเป็นโลกที่แตกต่างไปจากสภาพการณ์เดิม นับจากที่เราได้เห็นราคาน้ำมันร่วงดิ่งเมื่อรอบที่แล้ว” มาเรีย แวน เดอร์ เฮอเว่น ผู้อำนวยการใหญ่ของไออีเอกล่าวไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยหมายถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงที่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008

“เศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน ได้เข้าสู่ช่วงของการพัฒนาที่ลดการใช้น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน... และเหนืออื่นใด ความกังวลต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อนโยบายด้านพลังงาน ดังนั้น พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนจึงเป็นเรื่องแพร่หลายมากขึ้นๆ”

เป็นธรรมดาอยู่เองที่อุตสาหกรรมน้ำมันจะหวังว่าการตกต่ำของราคาในปัจจุบัน ไม่ช้าก็จะพลิกผันกลับขึ้นไปได้เอง พร้อมหวังด้วยว่าโมเดลการผลิตสูงสุดซึ่งยอบแยบอยู่ในปัจจุบัน จะเดินหน้าต่อได้เมื่อราคาน้ำมันทะยานกลับสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ความปรารถนานี้น่าจะเป็นความฝันข้างท่อน้ำมันเสียมากกว่า

ดั่งที่ แวน เดอร์ เฮอเว่น ชี้ประเด็นไว้ว่า โลกได้เปลี่ยนในอย่างใหญ่หลวงแล้ว โดยเป็นไปในกระบวนการที่บดขยี้รากฐานที่เคยรองรับยุทธศาสตร์การผลิตสูงสุดของยักษ์ใหญ่น้ำมันโลกไปอย่างสิ้นเชิง ประดาขาใหญ่วงการน้ำมันจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ พร้อมกับลดปฏิบัติการของพวกตนลง มิฉะนั้น ก็จะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากบริษัทอื่นที่ฉับไวและเชิงรุกมากกว่า

ไมเคิล ที แคลร์ เป็นศาสตราจารย์แห่งภาควิชาสันติภาพและเสถียรภาพโลก ณ แฮมป์เชียร์ คอลเลจ นอกจากนั้น ยังเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Race for What’s Left ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ มีการจัดทำผลงานประพันธ์ของศ.แคลร์ เรื่อง Blood and Oil ในรูปแบบภาพยนตร์สารคดีออกเผยแพร่แล้ว โดยหาชมได้จากมูลนิธิ Media Education Foundation
กำลังโหลดความคิดเห็น