การออกโรงโจมตีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามาแบบออกนอกหน้า และเผ็ดร้อนของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยเฉพาะในกรณีโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ถือเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนด้านต่างประเทศที่มีผู้คนติดตามมากที่สุดประเด็นหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน “บีบี”เนทันยาฮู ของอิสราเอล ในวัย 65 ปีได้ใช้โอกาสที่ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสภาคองเกรสส์ของสหรัฐฯ ในวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ประณามความพยายามของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ในการจับมือมหาอำนาจอื่นๆ ผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับอิหร่าน โดยเนทันยาฮู ชี้ว่า รัฐบาลวอชิงตันในเวลานี้กำลังเปิดช่องทางให้อิหร่านไ ด้กลายเป็นผู้ครอบครองอาวุธมหาประลัยอย่างระเบิดนิวเคลียร์ได้อย่างชอบธรรม
เนทันยาฮูซึ่งครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอิสราเอลสมัยแรกระหว่างปี 1996-1999 ก่อนได้กลับเข้ามาครองอำนาจอีกครั้งตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 กล่าวโจมตีโอบามาในการเป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน โดยระบุว่าผู้นำเมืองลุงแซมทำผิดพลาดมหันต์ที่ยอมปล่อยให้อิหร่านได้ก้าวเดินบน “เส้นทางสายนิวเคลียร์” ต่อไป ทั้งๆที่โอบามาน่าจะทราบดีอยู่แก่ใจว่า ภูมิภาคตะวันออกกลางที่คุกรุ่นด้วยไฟแห่งความขัดแย้งมาโดยตลอด จะยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเพียงใดหากปล่อยให้อิหร่านแผ่ขยายอิทธิพลของตนได้ตามชอบใจ แถมยังมีสถานะสมาชิกของสโมสรนิวเคลียร์ (nuclear club) พ่วงท้าย
หลังการปราศรัยของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งปฏิเสธไม่ยอมพบปะหารือกับเนทันยาฮูระหว่างที่นายกฯยิวสายเหยี่ยวผู้นี้เดินทางเยือนอเมริกาคราวนี้ ออกมาตอบโต้กลับว่า คำพูดของเนทันยาฮู “ไม่มีอะไรใหม่” และ “ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์” ใดๆในการป้องกันไม่ให้อิหร่านได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
สำหรับชายที่ชื่อเบนจามิน เนทันยาฮูแล้ว ความก้าวหน้าในโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านไม่เพียงแต่จะคุกคามความอยู่รอดของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สั่นคลอนอนาคตทางการเมืองของเขา ที่ต้องเผชิญบททดสอบสำคัญในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 มีนาคมนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านมาร์ซีห์ อัฟกัม โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน ออกโรงตราหน้าเนทันยาฮูว่าเป็น “นักโกหกลวงโลก” ที่คอยสร้างข้อมูลเท็จมาป้ายสีเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์เชิงสันติของรัฐบาลเตหะราน ขณะที่เฟเดริกา โมเกรินี ประธานนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกำลังทำในสิ่งที่เรียกว่า “โหมกระพือความหวาดกลัว” โดยไม่มีความจำเป็น
ในอีกด้านหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่าทีของรัฐบาลโอบามาในการ “โอนอ่อน” ต่ออิหร่านในเรื่องนิวเคลียร์ กำลังสร้างความกังวลใจไม่น้อยให้กับบรรดารัฐอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงอียิปต์ ที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของอเมริกาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดใน “โลกอาหรับ” ด้วยเช่นกัน
แหล่งข่าวทางการทูตในภูมิภาคตะวันออกกลางเผยว่า ในยามนี้กระแสความไม่พอใจสหรัฐฯ กำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะในซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงอียิปต์ เพราะชาติพันธมิตรอาหรับเหล่านี้ต่างกำลังรู้สึกว่า ตนเองถูก “หักหลัง” จากวอชิงตันที่หันไปผูกไมตรีกับอิหร่านที่ถือเป็น “ไม้เบื่อไม้เมา” ของรัฐอาหรับสายสุหนี่มาช้านาน
มิชาล อัล-เกอร์กาวี ผู้อำนวยการใหญ่สถาบัน “เดลมา” ในอาบูดาบี ให้ความเห็นไว้อย่างเจ็บแสบว่า รัฐบาลบารัค โอบามากำลังผลักไส “เพื่อนรักที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในโลกอาหรับ” ให้ตกลงไปใต้ท้องรถบัส และพร้อมแล่นทับจนสิ้นใจ แต่ในขณะเดียวกันโอบามากลับอ้าแขนเชื้อเชิญ “ศัตรูคู่อาฆาต” อย่างอิหร่านขึ้นมานั่งจิบไวน์อยู่บนรถบัสหน้าตาเฉย
ด้านอาลี วาเอซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านแห่งสถาบัน “International Crisis Group” ออกมาระบุว่า จุดยืนที่ล่อแหลมของรัฐบาลโอบามาต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน นอกจากจะทำให้อิหร่านได้มีโอกาสขยับเข้าใกล้ความเป็น “รัฐนิวเคลียร์” มากขึ้นทุกขณะแล้ว ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตันยังอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ “ดุลอำนาจ” ในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างสำคัญด้วยการผลักดันให้รัฐชีอะห์อย่างอิหร่านรวมถึงซีเรีย ได้ผงาดเหนือฝ่ายสุหนี่ที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นแกนนำอีกด้วย
ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องที่น่าประหลาดในหรือเกินความคาดหมายแต่อย่างใด หากนับจากนี้เป็นต้นไป เราจะมีโอกาสได้เห็นผู้นำของรัฐอื่นๆในตะวันออกกลาง ออกมากล่าวโจมตีสหรัฐฯในเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านซ้ำรอย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลอีก และคงต้องติดตามต่อไปว่าประเด็นร้อนฉ่าเรื่องการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านนี้จะจบลงเมื่อใดและในลักษณะใด รวมถึงจะส่งผลกระทบต่อ “ดุลยภาพของตะวันออกกลาง” ที่แสนเปราะบางมากน้อยเพียงใด