เอพี - ตัวเลขจากการสำรวจบ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอเมริกาขณะนี้มีน้ำมันเหลือเฟือจนแทบไม่มีที่จัดเก็บ ถือเป็นสัญญาณชี้ว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ในช่วงขาลงต่ออีกหลายเดือน อย่างน้อยจนกว่าจะถึงช่วงฤดูร้อนในสหรัฐฯ
ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา อเมริกาผลิตและนำเข้าน้ำมันเกินกว่าปริมาณการบริโภค โดยเฉลี่ยแล้วประมาณวันละ 1 ล้านบาร์เรลทุกวัน น้ำมันดิบส่วนเกินเหล่านี้ส่วนใหญ่จัดเก็บอยู่ในเมืองคุชชิง มลรัฐโอกลาโฮมา และส่งผลให้ปริมาณน้ำมันสำรองของแดนอินทรีสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างน้อยก็ในรอบ 80 ปี ทั้งนี้ จากการรายงานของกระทรวงพลังงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป ถังจัดเก็บอาจถึงขีดสูงสุดในราวกลางเดือนหน้า และจะฉุดให้ราคาน้ำมันดิบ ตลอดจนอาจรวมถึงน้ำมันเบนซินด้วยตกลงต่อ
เอ็ด มอร์ส หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดโภคภัณฑ์ของซิตี้แบงก์กล่าวในงานประชุมของเคาน์ซิลออนฟอเรนจ์รีเลชันส์ (Council on Foreign Relations) ที่นิวยอร์กเมื่อไม่นานมานี้ว่า ความสามารถในการจัดเก็บน้ำมันในอเมริกาใกล้ถึงขีดสุดแล้ว พร้อมระบุว่า น้ำมันอาจหล่นจาก 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขณะนี้ ลงไปแตะระดับ 20 ดอลลาร์ ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น บริษัทน้ำมันที่มีภาระขาดทุนสะสม จะหยุดการผลิตจนกว่าปริมาณที่ล้นเกินจะได้รับการระบายออกสู่ตลาด
มอร์สเสริมว่า ราคาน้ำมันเบนซินจะตกพร้อมน้ำมันดิบ ถึงแม้กำลังการกลั่นที่กำลังลดลง สืบเนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาล ตลอดจนภาวะการผลิตหยุดชะงักโดยไม่คาดคิด อาจจะเป็นปัจจัยช่วยพยุงไม่ให้ราคาเบนซินดิ่งรุนแรง
ราคาน้ำมันเบนซินโดยเฉลี่ยในอเมริกาขณะนี้อยู่ที่แกลลอนละ 2.44 ดอลลาร์ ถูกกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึง 1.02 ดอลลาร์ แต่แพงกว่าเดือนที่ผ่านมา 37 เซ็นต์
นักวิเคราะห์คนอื่นๆ เห็นด้วยว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มตกแรง (แม้หลายคนมองว่าอาจลงไปไม่ถึง 20 ดอลลาร์) เนื่องจากปริมาณน้ำมันยังคงล้นเกินและถูกส่งไปยังถังจัดเก็บสำรองอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น การผลิตน้ำมันของอเมริกายังคงเพิ่มขึ้น อย่างน้อยจนถึงปลายปีนี้ รวมถึงการที่น้ำมันที่ผลิตใหม่เป็นน้ำมันดิบชนิดเบา หรือ ไลต์สวีท ซึ่งไม่ใช่ชนิดที่โรงกลั่นน้ำมันในอเมริกาสามารถกลั่นได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถส่งออกได้โดยตรงเนื่องจากขัดกับกฎหมายของรัฐบาลกลางในปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังเป็นเพราะน้ำมันจากต่างแดนยังคงไหลเข้าสู่อเมริกา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอในประเทศอื่นๆ รวมทั้งเพื่อใช้ป้อนให้โรงกลั่นในสหรัฐฯ ที่ออกแบบมาสำหรับการแปรรูปน้ำมันดิบชนิดหนัก
ในด้านปัจจัยทางฤดูกาล เวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการน้ำมันเบนซินต่ำที่สุด ดังนั้น โรงกลั่นในอเมริกาจึงมักลดหรือหยุดการผลิตเพื่อทำการซ่อมบำรุง จึงมีการแปรรูปน้ำมันดิบน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังซื้อและจัดเก็บน้ำมันเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับราคาส่งมอบในอนาคต กล่าวคือนักลงทุนอาจซื้อน้ำมันที่ราคา 50 ดอลลาร์ในวันนี้และทำสัญญาขายที่ราคา 59 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ซึ่งสามารถทำกำไรอย่างงามแม้หักลบต้นทุนการจัดเก็บแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ สถานที่จัดเก็บน้ำมันส่วนใหญ่ของอเมริกาคือเมืองคุชชิง ที่มีแทงก์ที่ในทางทฤษฎีพร้อมรองรับน้ำมัน 85 ล้านบาร์เรล แม้แทงก์เหล่านั้นบางส่วนถูกใช้ในการผสมน้ำมันหรือเพื่อการจัดส่งก็ตาม
เกนส์คอร์ป ผู้จัดหาข้อมูลตลาดที่มีเฮลิคอปเตอร์ติดตั้งกล้องอินฟราเรดและเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อตรวจจัดปริมาณน้ำมันสำรองตามแท็งก์ต่างๆ ของเมืองคุชชิงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประเมินว่า ขณะนี้คุชชิงจัดเก็บน้ำมัน 2 ใน 3 ของศักยภาพสูงสุดและอาจเต็มในตอนกลางเดือนเมษายน พร้อมระบุว่า ปริมาณการจัดเก็บขณะนี้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ว่าคุชชิงจะใช้ศักยภาพการจัดเก็บถึงขีดสูงสุดหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้กำลังมีการสร้างเทอร์มินัลจัดเก็บใหม่ๆ ใกล้เมืองฮิวสตัน, ในเซนต์เจมส์ รัฐหลุยเซียนา, และอีกหลายที่ทั่วอเมริกา ที่อาจเริ่มจัดเก็บน้ำมันเพิ่มได้เมื่อราคาตกแรงพอรองรับต้นทุนการขนส่ง
นอกจากนั้น บริษัทขุดเจาะน้ำมันยังลดกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วเนื่องจากราคาน้ำมันดิ่งหนักจาก 107 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ราว 50 ดอลลาร์ในขณะนี้ ขณะที่ดีมานด์ส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น
และแม้กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ รายงานว่า ปริมาณน้ำมันดิบสำรองในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นอีก 8.4 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ขณะเดียวกัน น้ำมันดีเซลและเบนซินสำรองกลับลดลงเกินคาด
ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิเคราะห์จำนวนมากฟันธงว่า ราคาน้ำมันจะตกตลอดฤดูใบไม้ผลิ และเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่ผู้ขับขี่ชาวอเมริกันเริ่มออกมาใช้รถใช้ถนนมากขึ้น