เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - วอร์เร็น บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชื่อดังและนักลงทุนชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน ตัดสินใจขายทิ้งหุ้นมูลค่า 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 127,050 ล้านบาท) ที่เขาถือครองไว้ในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน “เอ็กซอน โมบิล” หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับร่วงลงมากกว่าครึ่งของระดับที่เคยเป็น
รายงานข่าวซึ่งถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธ (18 ก.พ.) ระบุว่า บัฟเฟตต์ ในวัย 84 ปีตัดสินใจขายทิ้งหุ้นจำนวน “41.1ล้านหุ้น” ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 127,050 ล้านบาท) ที่เขาถือครองไว้ในบริษัท “Exxon Mobil” แล้ว รวมถึงได้ขายทิ้งหุ้นจำนวน 471,994 หุ้นที่ถือครองไว้ในบริษัทน้ำมัน “โคโนโคฟิลลิปส์” ด้วยเช่นกัน
การตัดสินใจของบัฟเฟตต์ในการขายทิ้งหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานทั้ง 2 แห่งดังกล่าวถูกระบุว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2014 ที่ผ่านมา และส่งผลให้ในเวลานี้บริษัท “เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” ซึ่งเป็นแขนขาด้านการลงทุนของบัฟเฟตต์ไม่เหลือหุ้นในบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ทั้งสองแม้แต่หุ้นเดียว
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่าบัฟเฟตต์ยังคงมิได้หันหลังให้กับการลงทุนในธุรกิจพลังงานเสียทีเดียว เนื่องจากเขายังคงถือครองหุ้นในบริษัทพลังงานอีกหลายแห่ง รวมถึงบริษัท ซันคอร์ เอเนอร์จี และเนชันแนล ออยล์เวลล์ วาร์โค
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบัฟเฟตต์มีขึ้นหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกประสบภาวะดิ่งเหวต่อเนื่องจากระดับสูงกว่า 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เหลือไม่ถึง 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ตกเป็นข่าวสูญเงินมหาศาลถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 64,665 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง หลังทำการประเมินการลงทุนที่ผิดพลาด ในหุ้นบริษัทดัง “ไอบีเอ็ม” และ “โค้ก” ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) ที่ได้ชื่อว่า เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังราคาหุ้นของไอบีเอ็มปรับร่วงลงไปกว่า 13 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่หุ้นของโคคา-โคลาก็ปรับร่วงไป 0.15 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกันเมื่อ 17 ตุลาคมปีที่แล้ว วอร์เร็น บัฟเฟตต์เพิ่งตกเป็นข่าวว่าตัดสินใจขายทิ้งหุ้นของห้างค้าปลีกดังสัญชาติอังกฤษอย่าง “เทสโก้” ที่ถือครองไว้จำนวนมากกว่า “245 ล้านหุ้น” หลังจากที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของเทสโก้สะสมไว้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา โดยเจ้าตัวระบุการตัดสินใจลงทุนในห้างค้าปลีกดังกล่าวถือเป็น “ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง” และเป็น “การลงทุนที่โง่เขลา”