เอเอฟพี - ขณะเป็นประธานในพิธีไว้อาลัยตำรวจคอมมานโด 44 นาย ที่ถูกกบฏมุสลิมสังหารในปฏิบัติการปราบปรามการก่อการร้ายที่ผิดพลาด ประธานาธิบดี เบนิโญ อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ได้รับปากจะให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตในวันนี้ (30 ม.ค.) ซึ่งฟิลิปปินส์ได้ประกาศให้ประชาชนทั้งประเทศร่วมกันไว้ให้อาลัยหน่วยรบพิเศษชุดนี้
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ถูกสังหารในเหตุประจันหน้ากับกบฏ 2 กลุ่มทางใต้ของฟิลิปปินส์เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว (25) ขณะดำเนินปฏิบัติการไล่ล่ามือระเบิดชาวมาเลเซียชื่อ ซัลกิฟลี บิน ฮีร์ หรือ มาร์วัน ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันในการก่อเหตุระเบิดที่บาหลี อินโดนีเซีย จนเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 202 ราย เมื่อปี 2002
“ผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของพวกคุณ” อากีโนกล่าวกับภรรยาหม้าย พ่อแม่ และลูกๆ ของตำรวจหน่วยคอมมานโด ณ พิธีไว้อาลัยอันน่าเศร้าสะเทือนใจ ที่จัดขึ้นในค่ายตำรวจชานกรุงมะนิลา
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งสวมปลอกแขนไว้ทุกข์เช่นเดียวกับนายตำรวจที่เข้าร่วมพิธีนี้กล่าวว่า “ผมขอสัญญาจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคนที่เสียชีวิต”
บรรยากาศอันเงียบงันจนน่าขนลุกแผ่ปกคลุมโรงยิม ขณะอากีโนแสดงความเสียใจต่อเหยื่อเป็นครั้งแรก นับแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ ด้วยการอธิษฐานหน้าโลงศพสีขาวแต่ละโลงครู่หนึ่ง ก่อนที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะแผดเสียงร้องไห้จ้า
ระหว่างสดุดีวีรกรรมของนายตำรวจกล้า ผู้กำกับการตำรวจ โนลี ตาลีโน ได้ย้ำคำแถลงของรัฐบาลแดนตากาล็อกที่ว่า ซัลกิฟลี ถูกปลิดชีพ ขณะหน่วยโจมตีเล็กบุกกระท่อมของเขาเมื่อช่วงก่อนรุ่งสาง แม้ว่าจะยังไม่คำแถลงยืนยันการเสียชีวิตของมือระเบิดชาวมาเลเซียผู้นี้ออกมาก็ตาม
“มันคุ้มไหม ชีวิตผู้ก่อการร้ายสากลคนเดียวมีค่าเท่าพลร่มรบพิเศษ 44 นาย (หรือไม่) หากถามพวกเขา พวกเขาก็คงตอบว่ามันคุ้ม” ตาลีโนประกาศด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
อากีโน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ภายหลังที่เขาพลาดพิธีสวนสนามวานนี้ (29) ที่มีตำรวจคอมมานโดในชุดเครื่องแบบแบกโลงศพของสหายผู้จากไป ขณะศพตำรวจทั้ง 44 นายถูกลำเลียงมาถึงกรุงมะนิลา
ทว่า ประธานาธิบดีเลือกที่จะเดินทางไปร่วมพิธีเปิดโรงงานประกอบรถยนต์ญี่ปุ่นแทน
วันนี้ (30) อากีโน ให้คำมั่นว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลของเขาคือการตามล่า อับดุล บาสิต อัสมาน สมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงชาวฟิลิปปินส์ ที่ถูกกล่าวหาว่าลอบวางระเบิดทางตอนใต้ของประเทศอย่างน้อย 9 ครั้ง
ก่อนหน้านี้ ตำรวจระบุว่า อัสมานสามารถหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปได้
ทางการแดนตากาล็อกระบุว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง 44 นาย ถูกปลิดชีพขณะกำลังยิงต่อสู้ ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มกบฏมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ รวมทั้งกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ซึ่งร่วมลงนามข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลแดนตากาล็อก ที่กรุงมะนิลา เมื่อปีที่แล้ว
กลุ่ม MILF ยืนกรานว่าพวกเขาจำต้องต่อสู้เพื่อป้องกันตัวเอง และให้คำมั่นจะสานต่อกระบวนการสันติภาพต่อไป ขณะเดินหน้าเรียกร้องอำนาจในการปกครองตนเองในหลายจังหวัดทางภาคใต้
กบฏมุสลิมกลุ่มนี้ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาในอดีตที่ว่า พวกเขาเคยให้แหล่งกบดานแก่ซัลกิฟลี รวมทั้งกลุ่มหัวรุนแรงต่างชาติคนอื่นๆ และปล่อยให้สมาชิกกลุ่ม MILF เรียนรู้วิธีการทำระเบิดจากนักรบเหล่านี้
เจ้าหน้าที่กลุ่มอื่นๆ กล่าวว่า ผู้ที่ก่อเหตุโจมตีตำรวจคอมมานโดคือกบฏที่แยกตัวจาก MILF ออกมาตั้งกลุ่ม “นักรบเสรีภาพอิสลามบังซาโมโร” (BIFF) ซึ่งเคยประกาศตนเป็นพันธมิตรของนักรบญิฮาดหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ในอิรักและซีเรีย เมื่อปีที่แล้ว
