รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คนในวันอาทิตย์ (25 ม.ค.) หลังเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างตำรวจฟิลิปปินส์กับกลุ่มกบฏมุสลิมทางภาคใต้ของประเทศ สั่นคลอนข้อตกลงสันติภาพที่เพิ่งมีอายุได้เพียง 1 ขวบปี รวมถึงข้อตกลงหยุดยิงที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 3 ปี
รายงานข่าวระบุว่า เหตุยิงปะทะดังกล่าวซึ่งกินเวลายาวนานกว่า 12 ชั่วโมงใกล้กับเมืองมามาซาปาโน ในจังหวัด “มากินดาเนา” เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 27 นาย รวมถึงสมาชิกกลุ่มติดอาวุธมุสลิมอีก 5 คนเสียชีวิต
ขณะเดียวกัน มีการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 7 นายได้หายตัวไประหว่างการยิงปะทะและยังหาตัวไม่พบ ขณะที่มีรายงานว่ามีตำรวจอีก 8 นายถูกพวกกบฏมุสลิมจับตัวไป ถือเป็นเหตุปะทะกันระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐบาลและฝ่ายกบฏครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2011 เป็นต้นมา
ด้าน พ.อ.เรสติตูโต ปาดิญา จากกองทัพฟิลิปปินส์ออกมาเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการยิงปะทะกันอย่างหนักหน่วงระหว่างตำรวจกับกลุ่มกบฏในครั้งนี้ พร้อมเผยจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจพุ่งสูงถึง 50 ศพซึ่งส่วนใหญ่คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งนี้ กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามิกโมโร (MILF) ซึ่งถือเป็นกลุ่มกบฏมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ได้ยอมรับข้อตกลงสันติภาพจากรัฐบาลฟิลิปปินส์เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หลังการเจรจายาวนานที่มีมาเลเซียเป็นคนกลาง ส่งผลให้ความขัดแย้งที่ดำเนินมานานถึง 45 ปี และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 120,000 คน กับทำให้เกิดผู้อพยพพลัดถิ่นอีก 2 ล้านคนสิ้นสุดลง
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว กลุ่มโมโรจะต้องยอมวางอาวุธและสลายกองกำลัง ส่วนรัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องจัดตั้งองค์กรปกครองใหม่ซึ่งให้อำนาจในการปกครองตนเองแก่คนในพื้นที่ และให้สิทธิชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศได้เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและทางการเมืองมากขึ้น