เอเจนซี - โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (28 ม.ค.) ปฏิเสธข้อกล่าวหาแทรกแซงกิจการภายในของไทย และคำกล่าวอ้างที่ว่าคำพูดของทูตระดับสูงของอเมริกาได้สร้างความเจ็บปวดแก่คนไทย ระบุผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศวอชิงตัน แค่ต้องการย้ำถึงข้อเรียกร้องที่ต้องการเห็นการเมืองที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นเท่านั้น
ไทยซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของสหรัฐฯ รู้สึกขุ่นเคืองต่อคำพูดของ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ระหว่างปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “บทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2015” เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และได้เชิญนายแพทริก เมอร์ฟี รักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าชี้แจงข้อข้องใจ และความไม่สบายใจของฝ่ายไทยในวันพุธ (28 ม.ค.)
ในเรื่องดังกล่าว เจน ซากี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวประจำวันสั้นๆ ย้ำว่าอเมริกาแค่ต้องการเรียกร้องการเมืองที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นและยกเลิกกฎอัยการศึกเท่านั้น พร้อมบอกต่อว่าอเมริกาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “เราจะยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง”
ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเสื่อมทรามลงนับตั้งแต่กองทัพไทยก่อรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน ด้วยวอชิงตันระงับความช่วยเหลือและยกเลิกความร่วมมือด้านความมั่นคงบางอย่าง นอกจากนี้แล้ววอชิงตันยังลดระดับการซ้อมรบร่วมประจำปี “คอบร้าโกลด์” กับไทย เหลือแค่ปฏิบัติการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติเท่านั้น และทาง ซากี เผยต่อว่าเท่าที่ทราบยังไม่มีการเปลี่ยนแผนใดๆ
รัสเซล ถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของสหรัฐฯที่เดินทางเยือนไทยนับตั้งแต่เหตุรัฐประหาร และความเห็นของเขามีขึ้นไม่กี่วันหลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับไล่ ถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และอัยการสูงสุดมีมติส่งฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว
นายดอน ปรมัตวินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกกับผู้สื่อข่าวว่าไทยไม่เห็นด้วยกับนายรัสเซล ที่วิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยระหว่างปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบอกว่า “มันสร้างบาดแผลในใจคนไทย”
นายแดเนียลไม่ได้พบปะกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณรัฐประหารซึ่งเวลานี้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในระหว่างการเยือนครั้งนี้
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า หวังว่าเหตุกระทบกระทั่งครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบการค้าแบบทวิภาคี และความสัมพันธ์ทางการเศรษฐกิจจะยังคงดำเนินไปตามปกติ “มันน่าเศร้าที่สหรัฐฯ ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเข้าแทรกแซง และไม่เข้าใจแนวทางการทำงานของผม แม้ว่าเราเป็นพันธมิตรใกล้ชิดมานานหลายปี”
