ไมนิชิ - พ่อตัวประกันชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เผยช่างแสนเจ็บปวดหลังได้รู้ว่าลูกชายตายด้วยน้ำมือของกลุ่มรัฐอิสลาม พร้อมขอบคุณสำหรับความพยายามที่จะช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่นและทุกคนที่เกี่ยวข้อง
"ผมเคยหวังว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น หวังว่าการสังหารลูกชายผมจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวังและเสียใจ" โชอิชิ ยูคาวะ คุณพ่อวัย 74 ปี ของฮารุนะ ยูคาวะ ตัวประกันชาวญี่ปุ่นผู้ถูกสังหารโดยกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) บอกกับนักข่าวที่บ้านของเขาในจิบะ เมื่อวันอาทิตย์ (25 ม.ค.)
ฮารุนะ ยูคาวะ ชาวญี่ปุ่นวัย 42 ปี กับนักข่าวชาวญี่ปุ่น เคนจิ โกโตะ วัย 47 ปี ถูกจับเป็นตัวประกันโดยฝีมือของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
ทางกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นได้แจ้งข่าวร้ายให้กับครอบครัวยูคาวะตอนเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 24 ม.ค. ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ลูกชายของพวกเขาจะถูกสังหาร
"ตอนนั้นผมคิดว่า เฮ้อ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจนได้สินะ แล้วในหัวผมก็ว่างเปล่า เรื่องนี้มันทำลายความสงบในจิตใจผมจนหมดสิ้น" โชอิชิ กล่าว
คุณพ่อโชอิชิ ยังบอกกับนักข่าวด้วยว่า เขาอยากจะกอดลูกชาย หากได้เจอกันอีกครั้ง
"ลูกชายผมอายุ 42 ปี ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาคงจะได้ใช้ชีวิตนานกว่านี้อีกสักนิด ได้ทดแทนบุญคุณของทุกคนที่เอื้อเฟื้อต่อเขา แต่สถานการณ์มันเลวร้ายซึ่งเขาต้องจบชีวิตลง มันช่างเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดเหลือเกิน" เขาบอกกับนักข่าว
โชอิชิ บอกว่า ฮารุนะได้พบกับโกโตะครั้งแรกตอนที่เดินทางไปซีเรียเมื่อปีที่แล้ว
"ลูกชายผมให้ความเคารพคุณโกโตะมาก มักจะพูดถึงอยู่เสมอว่าเป็นคนที่อ่อนโยนและดีพร้อม ราวกับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากจริงๆ ที่เราทำให้คุณโกโตะต้องเดือดร้อนไปด้วย ผมหวังว่าเขาจะได้กลับญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด ได้กลับมาทำงานของเขาต่ออีกครั้ง" คุณพ่อโชอิชิ กล่าว
เมื่อถูกถามว่า กลุ่มรัฐอิสลามได้ติดต่อมาบ้างหรือไม่ โชอิชิก็ตอบว่า "ไม่มีการติดต่ออะไรเลย ผมไม่มีแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ" พร้อมทั้งบอกอีกว่า "ผมรู้สึกว่าชีวิตคนเราเวลาจากกันไปมันช่างปุบปับเหลือเกิน ผมอยากให้สงครามนี้จบเร็วๆ อยากให้ช่วงเวลาที่สงบสุขมาถึง"
ในระหว่างที่พูดคุยกับนักข่าวประมาณ 25 นาที โชอิชิ ได้กล่าวขอโทษที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมทั้งบอกด้วยว่า ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความพยายามช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่นและคนอื่นที่เกี่ยวข้อง
ด้านโนบุโอะ คิโมโตะ วัย 70 ปี อดีตสมาชิกสภาจังหวัดอิบารากิ และเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทของฮารุนะ กล่าวว่า "เขาตายแล้วจริงๆ สินะ ผมเคยหวังว่ารัฐบาลจะบอกว่าภาพที่เห็นมันเป็นของปลอม"
"ฮารุนะ มักจะพูดเสมอว่าการได้เดินทางไปทำงานรอบโลกคือความฝันของเขา ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปฆ่าเขาเลย" คิโมโตะ แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของกลุ่มรัฐอิสลาม
ทั้งนี้ บริษัทของ ฮารุนะ ยูคาวะ มีชื่อว่า "ไพรเวท มิลิทารี คอมปานี" หรือ พีเอ็มซี แจแปน ทำธุรกิจในลักษณะกึ่งทหารรับจ้าง โดยมีการรับจ้างดูแลด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้าที่ต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง อย่าง ซีเรีย อัฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ซึ่งก่อนที่จะถูกกลุ่มรัฐอิสลามจับตัวไป เคยมีวีดีโอที่ฮารุนะทดสอบยิงปืนอาก้าอยู่ในประเทศซีเรียเผยแพร่ภายในเว็บไซต์ยูทิวบ์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ทางกลุ่มรัฐอิสลามได้เผยแพร่วีดีโอที่มีการจับตัวฮารุนะออกมา ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็เคยพยายามตรวจสอบอยู่พักหนึ่ง แต่เนื่องจากเห็นว่า ฮารุนะ ทำธุรกิจกึ่งทหารรับจ้างและเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงด้วยความสมัครใจ ทำให้เรื่องนี้เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีการเผยแพร่วีดีโอที่จับตัวประกันชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 รายในครั้งล่าสุดนี้