รอยเตอร์ - ไม่น่าเชื่อว่า “มิตรภาพ” จะเป็นสิ่งที่ชักนำให้ เคนจิ โกโตะ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และฮารูนะ ยูกาวะ ชายผู้กำลังตกที่นั่งลำบากอย่างโดดเดี่ยว ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เมื่อพลเมืองญี่ปุ่นทั้งสองเกิดโชคร้ายกลุ่มหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” ไอเอส จับตัวไป แล้วแพร่คลิปเรียกค่าไถ่ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อต้นสัปดาห์นี้
ยูกาวะ ถูกลักพาตัวไปจากชานเมืองอะเลปโป ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะที่โกโตะ ผู้ตัดสินใจเดินทางกลับไปซีเรียอีกครั้งเมื่อปลายเดือนตุลาคมเพื่อหาทางช่วยชีวิตเพื่อนก็หายตัวไปตั้งแต่นั้นมา
สำหรับยูกาวะ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นผู้รับเหมาจัดหายุทโธปกรณ์แก่กองทัพ เดินทางไปซีเรียเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง ภายหลังที่เขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย ภรรยาก็มาด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็ง เขาสิ้นหวังมากจนเคยพยายามฆ่าตัวตาย ทั้งนี้เป็นการเปิดเผยจากบุคคลใกล้ชิดและตัวเขาเอง
หน่วยงานของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นได้พยายามควานหาเบาะแสของเขานับแต่เดือนสิงหาคม ผู้ที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการดังกล่าวระบุ ทว่า กลับไม่มีใครทราบว่า โกโตะหายตัวไปจนกระทั่งในวันอังคาร (20) เมื่อกลุ่มไอเอสแพร่คลิปวิดีโอซึ่งเผยให้เห็นเขา และยูกาวะ ในชุดสีส้มนั่งคุกเข่าขนาบข้างสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงชุดดำที่กวัดแกว่งมีดไปมา พร้อมขู่สังหารตัวประกันทั้งสองโดยพูดสำเนียงอังกฤษ
ยูกาวะ พบโกโตะเป็นครั้งแรกที่ซีเรียเมื่อเดือนเมษายน เขาขอให้โกโตะพาไปอิรัก เพื่อเรียนรู้วิธีการปฏิบัติหน้าที่ในเขตสงคราม จากนั้นทั้งสองก็เริ่มต้นออกเดินทางสู่แบกแดดในเดือนมิถุนายน
เมื่อเดือนเมษายน โกโตะระบุรอยเตอร์ว่า “เขารู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ดี และไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร เขาต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคนที่มีประสบการณ์”
จากนั้นยูกาวะก็เดินทางกลับไปซีเรียอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ส่วนโกโตะวัย 47 ปี เดินทางกลับญี่ปุ่น ข่าวการลักพาตัวยูกาวะเฝ้ารบกวนจิตใจโกโตะอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเพื่อน ที่มีอายุอ่อนกว่าไม่กี่ปี
โกโตะกล่าวว่า “ผมจำเป็นต้องไปที่นั้นสักครั้ง เพื่อพบ (ชาวบ้านในพื้นที่ ผู้รับจ้างประสานงานให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เช่น จัดการประชุม ช่วยเป็นล่าม) เพื่อถามไถ่พวกเขาว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ผมต้องไปพูดคุยกับพวกเขาด้วยตัวเองเพราะคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น
โกโตะ เริ่มทำงานเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศเต็มตัว เมื่อปี 1996 จนสามารถสร้างชื่อในฐานะนักข่าวผู้รอบคอบ ที่สถานีโทรทัศน์ของแดนอาทิตย์อุทัยหลายเจ้าให้ความเชื่อถือ รวมทั้ง สถานีโทรทัศน์แห่งชาติญี่ปุ่น (เอ็นเอชเค)
โกโตะ ผู้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เมื่อปี 1997 เล่าว่า ศรัทธามีอิทธิพลต่อแนวทางในการทำงานของเขาอย่างไร
“ผมมีโอกาสได้ลงทำข่าวในพื้นที่อันตราย และต้องเสี่ยงชีวิต แต่ผมก็รู้ว่า ถึงอย่างไรพระเจ้าจะช่วยผมเสมอ” เขาให้สัมภาษณ์บทความ “คริสเตียนทูเดย์” ของญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤษภาคม ทว่า เขาสำทับว่า ไม่เคยล้อเล่นกับความเป็นความตาย โดยยกหลักคำสอนในไบเบิลที่ว่า “จงอย่าทดสอบพระเจ้า”
เมื่อเดือนตุลาคม ภรรยาของโกโตะคลอดลูกคนที่ 2 ของเขา โดยผู้สื่อข่าวคนนี้มีลูกติดมาจากภรรยาเก่าหนึ่งคน
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เขาวางแผนเดินทางเข้าซีเรีย และได้อัปโหลดคลิปวีดีโอสั้นๆ หลายคลิปลงในทวิตเตอร์ โดยคลิปหนึ่งเผยให้เห็น โกโตะ และบัตรสื่อมวลชน ที่ออกโดยกบฏซีเรีย ในเมืองอะเลปโป ผู้มีแนวทางต่อต้านรัฐบาล ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมปีที่แล้ว เขาส่งอีเมลถึงคนรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นครูโรงเรียนมัธยมปลาย เพื่อบอกว่าเขาวางแผนจะเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
เพื่อนของเขาเล่าว่า เขาเดินทางจากกรุงโตเกียวไปยังนครอิสตันบูล ก่อนจะข้ามพรมแดนเข้าสู่ซีเรีย จากนั้นก็ส่งอีเมลมาบอกว่า เขาข้ามช่องผ่านแดนเข้าไปโดยสวัสดิภาพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเป็นความรับผิดชอบของผม” เป็นคำพูดสุดท้ายที่โกโตะกล่าวไว้ในวิดีโอเพียงไม่นานก่อนออกเดินทางไปยังเมืองรอกเกาะห์ ฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มรัฐอิสลาม
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นโกโตะ ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวอีกครั้งในคลิปวิดีโอของกลุ่มไอเอสในสัปดาห์นี้