xs
xsm
sm
md
lg

ใครได้ประโยชน์จากการเข่นฆ่าที่ “ชาร์ลี เอ็บโด”?

เผยแพร่:   โดย: เปเป้ เอสโคบาร์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Who profits from killing Charlie?
By Pepe Escobar
08/01/2015

ใครกันที่ได้ประโยชน์จากการเข่นฆ่าสังหาร สเตฟาน ชาร์บอนนิเญร์ และเพื่อนร่วมงานของเขาใน “ชาร์ลี เอ็บโด” นิตยสารแนวเสียดสีของฝรั่งเศส? คงมีแต่พวกซึ่งมีวาระมุ่งประสงค์ทำให้อิสลามกลายเป็นปีศาจร้ายขึ้นมาให้ได้กระมัง แม้กระทั่งกลุ่มผู้คลั่งไคล้ใหลหลงลัทธิศาสนาราวกับถูกล้างสมอง ก็ไม่ปรารถนาที่จะนำเอาการฆาตกรรมโหดที่ชาร์ลี เอ็บโด มาโอ่อวดต่อผู้คนซึ่งกล่าวหาพวกเขาเป็นพวกป่าเถื่อนอยู่แล้ว ว่าพวกเขาก็เป็นพวกป่าเถื่อนจริงๆ นั่นแหละ ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตด้วยว่าอย่างน้อยที่สุดหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสก็สรุปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ไม่ได้เป็นฝีมือของมือระเบิดไก่อ่อนสมัครเล่น หากแต่เป็นฝีมือของมืออาชีพ

ปูติน ทำเรื่องนี้!! เสียใจด้วยครับ เขาไม่ได้ทำ ในที่สุดแล้ว มันไม่ใช่รัสเซีย “ผู้ก้าวร้าวรุกราน” บุกเข้าโจมตีใส่ดินแดนหัวใจของยุโรปหรอก หากเป็นการลงมือในสไตล์แบบหน่วยกล้าตายญิฮัดมือโปร แต่ว่าใครกันที่ได้ประโยชน์จากการกระทำคราวนี้?

การวางแผนและการเตรียมการช่างเป็นไปอย่างรอบคอบและพร้อมสรรพ ดังจะเห็นได้ว่ามีทั้งปืนเล็กยาวคาลัชนิคอฟ (ปืนอาก้า), เครื่องยิงจรวด (อาร์พีจี), หมวกเหล็กป้องกันศีรษะ, เข็มขัดกระสุนสีทรายซึ่งบรรจุแน่นด้วยแมกกาซีนสำรอง, รองเท้าบูธแบบทหารบก, ชิ้นขนมเค้ก, และการหลบหนีโดยอาศัยรถซีตรองสีดำ ความสนับสนุนทางด้านการส่งกำลังบำรุงสำหรับการปฏิบัติการสุดโหดในกรุงปารีสเรียกได้ว่าไม่มีที่ติ เสมือนกับเป็นน้ำตาลไอซิ่งชั้นดีโรยประดับหน้าขนมเค้กพิฆาต เฟเรเดริก กาลลัวส์ (Frederic Gallois) อดีตผู้บัญชาการทหารฝรั่งเศสระดับท้อปผู้หนึ่งของฝรั่งเศส ออกมาพูดเน้นย้ำเลยว่า เป็นการนำเอา “เทคนิคการรบจรยุทธ์ในเขตตัวเมือง” (Frederic Gallois) มาประยุกต์ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ดูรายละเอียดได้ที่ข้อเขียนภาษาฝรั่งเศสชิ้นนี้ http://www.lexpress.fr/actualite/societe/fait-divers/attentat-a-charlie-hebdo-un-mode-operatoire-militaire_1638408.html#kAs7qLxyXqI4WvI4.01) ส่วนพวก “ผู้เชี่ยวชาญ” ต่อต้านการก่อการร้ายชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทั้งหลาย ทำไมถึงได้หายไปหมด ไม่เห็นออกมาเสนอหน้าในเวลาที่เราต้องการรับรู้ “ความเชี่ยวชาญ” ของพวกเขากันบ้างเลย

ผู้เห็นเหตุการณ์บางคนบอกว่า คนร้ายเหล่านี้สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างเพอร์เฟคเป๊ะเว่อร์ ขณะที่คนอื่นๆ กลับบอกว่าพวกเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างกระท่อนกระแท่นเต็มที อย่างไรก็ดี เรื่องที่ถือกันว่าสำคัญอย่างยิ่งก็คือว่า พวกเขาได้ประกาศเปล่งถ้อยคำอันมีมนตร์ขลังออกมาว่า “เราเป็นอัลกออิดะห์” ที่จริงเยี่ยมยอดยิ่งกว่านั้นเสียอีก พวกเขาบอกกับชายคนหนึ่งบนท้องถนนว่า “ไปบอกสื่อเลยนะว่านี่เป็นฝีมือของกลุ่มอัลกออิดะห์ในเยเมน” ซึ่งตามศัพท์บัญญัติทางด้านการก่อการร้ายของอเมริกัน นี่หมายถึงกลุ่มอัลกออิดะห์ในคาบสมุทรอาหรับ (al-Qaeda in the Arab Peninsula ใช้อักษรย่อว่า AQAP) แถม สเตฟาน ชาร์บอนนิเญร์ (Stephane Charbonnier) หรือที่นิยมเรียกขานกันด้วยชื่อเล่นว่า “ชาร์บ” (Charb) บรรณาธิการ รวมทั้งเป็นนักเขียนการ์ตูนผู้หนึ่งของ “ชาร์ลี เอ็บโด” ยังปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อเป้าหมายที่จะต้องถูกสังหาร ซึ่งโฆษณาป่าวร้องกันเอาไว้ในนิตยสาร “อินสไปร์” (Inspire) อันแสนจะมลังเมลืองเลื่อนลั่นของ AQAP โดยที่ข้อหาความผิดของเขาก็คือ “ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสดามูฮัมหมัด”

และก็เหมือนกับต้องการทำให้แน่ใจว่า ในสมองของทุกๆ คนได้ถูกปลูกถ่ายฝังแน่นเอาไว้อย่างแน่นอนแล้วว่าผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้เป็นใครมาจากไหน ฆาตกรทั้งสองจึงยังได้เปล่งคำสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษาอาหรับว่า “อัลเลาะห์ อัคบาร์” (Allahu Akbar) รวมทั้งพูดอย่างชัดเจนว่า “เรามาฆ่าชาร์ลี เอ็บโด” และ “เรามาแก้แค้นให้แก่ท่านศาสดา”

ตั้งแต่ตอนที่พี่น้อง เชรีฟ คูอาชิ (Cherif Kouachi) และ ซาอิด คูอาชิ (Said Kouachi) ยังอยู่ระหว่างการหลบหนีด้วยซ้ำ ตำรวจก็ดูเหมือนจะทราบเป็นอย่างดีแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร เนื่องจากพวกเขาให้บังเอิญทิ้งบัตรประจำตัวใบหนึ่งเอาไว้ในรถยนต์ซีตรองสีดำคันที่พวกเขาใช้หลบหนี (แหม ของอย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ก็กำลังต้องรีบเผ่นรีบหลบหนีอยู่นี่...)

แล้วจากนั้นได้มีการเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของ เชรีฟ คาอูชิ จนกระจายไปทั่ว ช่างทำได้อย่างสมบทบสมบาทถูกจังหวะเวลาจังเลย! ปรากฏว่าเขามีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่ต้องเฝ้าจับตามองจากทั่วโลก เคยถูกตัดสินลงโทษพร้อมด้วยจำเลยอื่นๆ อีก 6 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 ให้ถูกจำคุกเป็นเวลา 3 ปีในความผิดฐาน “ก่อการร้าย” โดยสิ่งที่เขาถูกกล่าวหาว่ากระทำคือ การนำตัวหนุ่มชาวฝรั่งเศสสิบกว่าคน จากพวกโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในอียิปต์และซีเรีย ไปส่งให้แก่ อบู มูซาบ อัล-ซอร์กอวี (Abu Musab al-Zarqawi) ซึ่งได้ถูกจรวดของอเมริกันเข่นฆ่าสังหารไปแล้ว
บุคคลผู้นี้คืออดีตหัวหน้าของกลุ่มอัลกออิดะห์ในอิรัก (ตั้งแต่ช่วงที่ทหารอเมริกันยังรุกรานและยึดครองอิรักเอาไว้) และก็เป็นบิดาทางจิตวิญญาณของกลุ่ม Daesh/ISIS/ISIL (หมายถึงกลุ่มที่ปัจจุบันเรียกตนเองว่า “รัฐอิสลาม” หรือ ไอเอส นั่นเอง โดยที่ Daesh หรือ Da’ish เป็นอักษรย่อชื่อของกลุ่มนี้ในภาษาอาหรับ ขณะที่ ISIS หรือ Islamist State of Iraq and al-Sham และ ISIL หรือ Islamist State of Iraq and the Levant เป็นชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ก่อนที่กลุ่มนี้จะประกาศจัดตั้ง “รัฐกาหลิบอิสลามแห่งโลก” และเปลี่ยนนามตนเองเป็น “รัฐอิสลาม” (Islamic State ใช้อักษรย่อว่า IS) ในปลายเดือนมิถุนายน 2014 ทั้งนี้ตามข้อมูลจาก Wikipedia -ผู้แปล)

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งออกมาอย่างถูกจังหวะเวลาสมบทสมบาทเช่นเดียวกัน ได้แก่คำอธิบายรายละเอียดพรักพร้อมสำหรับการบริโภคของมวลชนวงกว้าง (ดังเช่นรายงานข่าวภาษาฝรั่งเศสชิ้นนี้ http://www.liberation.fr/societe/2015/01/07/un-commando-organise-et-prepare_1175841) ประเด็นหลักเลยก็คือ ตำรวจฝรั่งเศสนั้นให้น้ำหนักเป็นพิเศษแก่สมมุติฐานว่าด้วย “การก่อการร้ายของพวกอิสลามิสต์” ตามความเห็นของเหล่า “ผู้เชี่ยวชาญ” ของพวกเขาแล้ว เหตุการณ์คราวนี้อาจจะเป็นการโจมตี “ซึ่งได้รับคำสั่งจากนอกประเทศ และดำเนินการโดยพวกนักรบญิฮัดที่เดินทางกลับมาจากซีเรีย ซึ่งสามารถเล็ดรอดหลุดพ้นสายตาซึ่งคอยติดตามของพวกเขาอยู่” หรือไม่เช่นนั้น ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ คนร้ายเหล่านี้อาจจะเป็น “พวกงี่เง่าเบาปัญญาแถบชานเมือง ซึ่งกลายเป็นพวกหัวรุนแรงด้วยตนเอง และวางแผนดำเนินการโจมตีทางทหารคราวนี้ขึ้นมาโดยอ้างนามของอัลกออิดะห์”

ได้โปรดเถอะครับ ขีดทิ้งเจ้าออปชั่นความเป็นไปได้อย่างที่สองไปเลย นี่มันเป็นงานของมือโปรชัดๆ นะครับ ใช่เลยครับ พวกเขาอาจจะเป็นนักรบรับจ้างของกลุ่ม Daesh/ISIS/ISIL ซึ่งเคยได้รับการฝึกอบรมจากนาโต้ (องค์การนาโต้นี่ก็มีฝรั่งเศสเป็นสมาชิกอยู่ด้วยนะครับ) ในตุรกี และ/หรือ จอร์แดน แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นมือปฏิบัติการของกลอุบายอำพรางซ่อนเงื่อนมุ่งปรักปรำป้ายสีซึ่งน่ารังเกียจน่าขยะแขยงยิ่งกว่านั้นเสียอีก พวกเขายังอาจจะเป็นอดีตหน่วยปฏิบัติการพิเศษของฝรั่งเศส หรือกระทั่งเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษของฝรั่งเศสอยู่ในปัจจุบัน

กระแสต่อต้านอิสลาม

เราสามารถทำนายได้เลยว่า พวกเที่ยวเร่ขายแนวความคิด “Islamofascism” ทั้งหลาย (Wikipedia บอกว่าเป็นคำศัพท์ที่บัญญัติกันขึ้นมาใหม่ จากการเปรียบเทียบพิจารณาว่า ลักษณะทางอุดมการณ์ของขบวนการอิสลามิสต์ในปัจจุบันบางขบวนการ มีความคล้ายคลึงกับขบวนการลัทธิฟาสซิสต์ในยุโรปช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รวมทั้งขบวนการลัทธิฟาสซิสต์ใหม่ ตลอดจนลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ –ผู้แปล) จะมองเห็นว่าเวลานี้เป็นจังหวะเวลาอันงดงามแล้วที่จะต้องเร่งทำงานในภาคสนามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

สำหรับพวกเบาปัญญา/พวกเกรียนไร้สมอง/ฝูงคนที่กำลังแสดงให้เห็นว่ามีไอคิวอยู่ในระดับต่ำๆ ทางวิชาสัตววิทยา เมื่อเกิดความระแวงสงสัยข้องใจอะไร ก็จะมองอิสลามให้กลายเป็นปีศาจร้ายเอาไว้ก่อน

เป็นเรื่องสะดวกง่ายดายเหลือเกินที่จะหลงลืมไปว่า มีผู้คนที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรกับเขา จำนวนเป็นล้านๆ คนทีเดียวในพื้นที่ตั้งแต่เขตชาวชนเผ่าของปากีสถาน ไปจนถึงตามตลาดริมถนนของเมืองต่างๆ ทั่วทั้งอิรัก ซึ่งกระทั่งเวลานี้ก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดขมขื่นจากความพินาศย่อยยับทั้งชีวิตและหัวจิตหัวใจ ในขณะที่พวกเขากำลังกลายเป็นเหยื่อ กำลังตกเป็นเป้าหมายแห่งการปลุกระดมให้เข้าสู่ความคิดจิตใจแบบนักรบญิฮัด (หรืออย่างที่รู้จักเรียกขานกันในปากีสถานว่า “วัฒนธรรมปืนอาก้า” Kalashnikov culture) โดยที่ “ตะวันตก” นั่นแหละเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากสภาวการณ์เช่นนี้มาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว

ลองคิดดูเถอะถึงอากาศยานไร้นักบิน (โดรน) ที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติการถล่มโจมตีอย่างสม่ำเสมอราวกับพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ ต่อพื้นที่ต่างๆ ของพลเรือนชาวปากีสถาน, ชาวเยเมน, ชาวซีเรีย, ชาวอิรัก, ตลอดจนชาวลิเบีย

ลองคิดดูเถอะถึงเมืองซาดร์ซิตี้ (Sadr City เขตพำนักอาศัยของชาวชิอะห์ในกรุงแบกแดด -ผู้แปล) ที่เป็นประจักษ์พยานของการเข่นฆ่าสังหารหมู่ ซึ่งมีความรุนแรงเลวร้ายกว่าที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสหลายสิบเท่าตัว และยังคงเกิดขึ้นมาซ้ำๆ ซากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส แถลงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของเขาว่าเป็น “พฤติการณ์อันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนอย่างสุดแสนพิเศษ” ถึงแม้ว่าสิ่งซึ่งเกิดขึ้นในฝรั่งเศสจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ตาม แต่เราย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คำจำกัดความเช่นนี้มิได้ถูกนำมาใช้เลยในกรณีที่ “โลกตะวันตก” ทั้งจัดหาจัดส่งอาวุธมากมายเข้าไป รวมทั้งจัดการฝึกอบรมและทำการควบคุมแบบรีโมตคอนโทรล ต่อพวกนักรบรับจ้าง/นักฆ่าตัดคอมนานาพันธุ์ ในดินแดนตั้งแต่ลิเบียไปจนถึงซีเรีย (โดยที่ฝรั่งเศสก็จัดอยู่ในประเทศตะวันตกระดับแถวหน้าทีเดียวที่เดินนโยบายเช่นนี้ ไล่กันตั้งแต่ยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี มาจนถึงยุคสมัยของออลลองด์เอง) ในความคิดของ “คิงซาร์โก” หรือตัว “ท่านนายพลออลลองด์” เองนั้น การเข่นฆ่าพลเรือนในกรุงตริโปลีหรือเมืองอะเลปโป เป็นพฤติการณ์ที่ถูกต้องเพอร์เฟคต์แล้ว แต่อย่ามาทำอย่างนี้ในปารีสเป็นอันขาด!

เช่นนี้เอง ในกรุงปารีส นครที่เปรียบประดุจหัวใจของยุโรป เวลานี้กำลังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวคั่งแค้นขมขื่น ภายหลังเผชิญกับปฏิกิริยาสะท้อนกลับแบบถูก “ปืนถีบ” อันที่จริงแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้านคั่งแค้นขมขื่น นี่แหละคือความรู้สึกของประชาชนในแคว้นวาซิริสถานทั้งสอง (Waziristans ประกอบด้วยเขต North Waziristan และ South Waziristan ซึ่งต่างก็เป็นพื้นที่ของชนชาวเผ่าบริเวณชายแดนปากีสถานติดต่อกับอัฟกานิสถาน -ผู้แปล) เมื่อตอนที่งานแต่งงานของพวกเขาถูกถล่มเผาผลาญพินาศด้วยขีปนาวุธ “เฮลล์ไฟร์” (Hellfire) ไฟนรกที่ส่งออกมาจากโดรนอเมริกัน

ในอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้หรือที่ว่าเครือข่ายข่าวกรองอันแสนจะกว้างขวางซับซ้อนครอบคลุมของฝ่ายตะวันตก กลับไม่สามารถมองเห็นว่า พวกเขากำลังจะถูก “ปืนถีบ” อีกทั้งยังช่างไร้ความสามารถเสียจริงๆ ที่จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมา (เป็นไปได้ยังไง ที่ยังปล่อยปละให้ “แพะรับบาปประจำวัน” อย่างพี่น้องคูอาชิยังคงลอยนวลอยู่นอกคุก?)

แน่นอนทีเดียวว่า มีความเป็นไปได้ที่เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านต่อต้านการก่อการร้ายของฝ่ายตะวันตก (ซึ่งช่างมีความชำนาญการเหลือเกินในการตรวจตราแทบจะเปลื้องผ้าพวกเราทุกคนในทุกๆ สนามบิน) จะต้องมองเห็นถึงปฏิกิริยาที่กำลังกระแทกกลับเข้ามา ทว่าในดินแดนแห่งสงครามอำพรางซ่อนเงื่อน กลุ่มรวมๆ อย่าง “อัลกออิดะห์” ตลอดจนกลุ่มที่แยกย่อยออกมาอีกมากมายมหาศาล อย่างเช่นกลุ่ม Daesh/ISIS/ISIL “ผู้ทรยศ” ต่างกำลังถูกนำมาใช้กันอย่างมากมาย ในลักษณะของกองทัพรับจ้างที่ใช้สอยแสนสะดวก เพื่อให้กลายเป็นรูปแบบภัยคุกคามภายในประเทศตะวันตกเอง “ต่อเสรีภาพทั้งหลาย” ของโลกตะวันตก

ใครกันที่ได้ประโยชน์?

เราย่อมสามารถที่จะทำนายได้เช่นกันว่า พวกสำนักคลังสมองทั้งหลายของสหรัฐฯ ก็กำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการปั้นแต่งละครดราม่าเรื่องความแตกแยกร้าวฉาน “ภายในหมู่ชาวมุสลิม” ซึ่งจะทำให้พวกนักรบญิฮัดได้มีพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งจะสามารถเข้ากอบโกยแสวงหาผลประโยชน์ได้ และทั้งหมดเหล่านี้ก็กำลังดูดให้โลกตะวันตกเข้าไปอยู่ในสงครามกลางเมืองของชาวมุสลิม สภาวการณ์เช่นนี้ช่างน่าหัวเราะเยาะเสียจริงๆ สหรัฐอเมริกาซึ่งผมขอเรียกว่า “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” (Empire of Chaos) นั้น ในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้วุ่นวายสาละวนกับการหว่านเพาะแนวความคิดแบบ นักรบญิฮัด/วัฒนธรรมปืนอาก้า เพื่อให้คนมุสลิมเข้าต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่สหภาพโซเวียต ไปจนถึงขบวนการนักชาตินิยมทั้งหลายตลอดทั่วทั้งฝ่ายใต้ของโลก (Global South หมายถึงพวกชาติยากจน ซึ่งอยู่ในละตินอเมริกา, แอฟริกา, ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย รวมทั้งตะวันออกกลาง –ผู้แปล) วิธีแบ่งแยกแล้วปกครองนั้นเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้เสมอมา ด้วยการโหมกระพือเปลวเพลิงแห่งความร้าวฉาว “ภายในอิสลาม” ตั้งแต่ยุคคณะบริหารคลินตัน (Clinton administration) ซึ่งมีสัมพันธภาพอันดีกับพวกตอลิบาน ไปจนถึงระบอบปกครองเชนีย์ (Cheney regime ดิ๊ก เชนีย์ นั้นเป็นรองประธานาธิบดีในยุคของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช การที่ เปเป้ เอสโคบาร์ ใช้คำว่าระบอบปกครองเชนีย์เช่นนี้ ก็คือตั้งใจเย้ยเยาะเสียดสีข้อเท็จจริงในทางพฤตินัยที่ว่า ในคณะบริหารของบุชผู้ลูกนั้น ผู้กุมอำนาจตัวจริงคือเชนีย์ –ผู้แปล) ซึ่งได้ทำให้ความแตกแยกทางนิกายศาสนาระหว่างสุหนี่/ชิอะห์ ยิ่งบานปลายขยายตัว ทั้งนี้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพวกบริษัทบริวารในอ่าวเปอร์เซียของสหรัฐฯ

ถ้าเช่นนั้น ใครกันที่เป็นผู้ตักตวงผลประโยชน์ จากการเข่นฆ่าสังหารที่ชาร์ลี เอ็บโด? ก็เห็นจะมีแต่พวกซึ่งระเบียบวาระในใจของพวกเขาคือการทำให้อิสลามกลายเป็นปีศาจร้ายขึ้นมาเท่านั้น แม้กระทั่งกลุ่มผู้คลั่งไคล้ใหลหลงลัทธิศาสนาราวกับถูกล้างสมอง ก็ไม่ปรารถนาที่จะนำเอาการฆาตกรรมโหดที่ชาร์ลี เอ็บโด มาโอ่อวดต่อผู้คนซึ่งกล่าวหาพวกเขาเป็นพวกป่าเถื่อนอยู่แล้ว ว่าพวกเขาก็เป็นพวกป่าเถื่อนจริงๆ นั่นแหละ ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตด้วยว่าอย่างน้อยที่สุดหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสก็สรุปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ไม่ได้เป็นฝีมือของมือระเบิดไก่อ่อนสมัครเล่น หากแต่เป็นฝีมือของมืออาชีพ เรื่องนี้บังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันภายหลังที่ฝรั่งเศสให้การรับรองฐานะความเป็นรัฐของปาเลสไตน์ และเพียงไม่กี่วันหลังจาก “ท่านนายพลออลลองด์” เรียกร้องต้องการให้ยกเลิกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรที่กระทำกับรัสเซีย สืบเนื่องจาก “ภัยคุกคาม” ของแดนหมีขาวต่อประเทศยูเครน

เหล่าเจ้านายแห่งจักรวาล ซึ่งเป็นผู้ที่คอยชักดึงกลไกจริงๆ ของ “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” กำลังรู้สึกวิตกกังวลที่เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเชิงระบบขึ้นมาในกิจกรรมเหนือกฎหมาย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขามีมายาภาพว่าสามารถควบคุมเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด อย่างไรก็ตาม อย่าได้สำคัญผิดไปนะครับ ไม่ว่ากรณีการสังหารโหดชาร์ลี เอ็บโด จะเป็นปฏิกิริยากระแทกกลับแบบปืนถีบ หรือว่าเป็นกลอุบายอำพรางซ่อนเงื่อนมุ่งปรักปรำป้ายสี ก็ตามที จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายก็จะกระทำสิ่งที่มันสามารถฉวยใช้หาประโยชน์จากสภาพแวดล้อมของโลกภายหลังกรณีชาร์ลี เอ็บโด อย่างแน่นอน

อันที่จริงเวลานี้คณะบริหารโอบามาก็กำลังปลุกระดมเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) “กำลังช่วยเหลือ” ฝรั่งเศสดำเนินการสอบสวน เป็นอย่างที่นักวิเคราะห์ชาวอิตาลีผู้หนึ่งเขียนเอาไว้อย่างคมคายน่าจดจำนั่นแหละ (ดูรายละเอียดได้จากข้อเขียนภาษาอิตาลีชิ้นนี้ http://megachip.globalist.it/Detail_News_Display?ID=114322&typeb=0&L-uccisione-della-satira-sacrificale) พวกนักรบญิฮัดนั้นไม่ได้คิดโจมตีกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ทำตัวเป็นเหมือนกับอีแร้ง (vulture hedge fund) หรอก พวกเขากลับเข้าโจมตีหนังสือพิมพ์แนวเสียดสีคุณภาพต่ำฉบับหนึ่ง นี่แหละ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ระดับฮาร์ดคอร์ต่างหาก รวมทั้งทำให้ผมหวนนึกไปถึงเนื้อเพลงของ เดวิด โบวี ( David Bowie) ที่ว่า “This is not rock'n roll. This is suicide.”

เวลานี้คณะบริหารโอบามากำลังพยายามปลุกระดมกันแล้ว เพื่อยื่นข้อเสนอ “ให้การคุ้มครอง” (ในสไตล์แก๊งนักเลงอันธพาล) แก่ยุโรปตะวันตก หลังจากที่ฝ่ายยุโรปเริ่ม (เพียงแค่เริ่มเท่านั้นนะครับ) จะรู้สึกลังเลไม่แน่ใจเกี่ยวกับ “ภัยคุกคาม” จากรัสเซีย ที่มีการประดิษฐ์สร้างกันขึ้นมา และแล้ว เมื่อจักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย กำลังเกิดความต้องการที่จะใช้งานมันอย่างที่สุดนั้นเอง ในทันใดนั้น เจ้าปีศาจ “เทอร์รา” (evil "terra") ก็จะชูหัวอันน่าเกลียดน่าชิงชังของมันขึ้นมาทันที

แน่นอนครับ ผมเป็นชาร์ลี (I am Charlie มาจากภาษาฝรั่งเศส Je suis Charlie อันเป็นคำประกาศที่ผู้คนนิยมกันใช้อยู่ทั่วโลก ภายหลังกรณีเข่นฆ่าสังหารหมู่ที่ชาร์ลี เอ็บโด ทั้งนี้เพื่อยืนยันเห็นด้วยกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และคัดค้านลัทธิรุนแรงสุดโต่ง -ผู้แปล) ไม่ใช่เนื่องจากว่าพวกเขาทำให้เราหัวเราะขบขันหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะพวกเขาคือแพะรับบาปที่ถูกเซ่นสังเวยในละครหุ่นเชิดซึ่งน่าชิงชังรังเกียจและน่าขนพองสยองเกล้า และก็เป็นละครหุ่นเชิดที่เล่าขานกันอย่างไม่รู้จบ

เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของเขาคือเรื่อง Empire of Chaos (Nimble Books, 2014) ติดตามเขาทางเฟซบุ๊กได้ที่ https://www.facebook.com/pepe.escobar.77377 และสามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com
กำลังโหลดความคิดเห็น