เอเอฟพี – ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรทางการค้าต่อคาบสมุทรไครเมียวานนี้(19) โดยห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันส่งออกสินค้าและบริการไปยังดินแดนซึ่งถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม และยังปิดกั้นสินค้านำเข้าจากไครเมีย ขณะที่แคนาดาก็ประกาศลงดาบรัสเซียเพิ่มเติมอีกระลอก โดยพุ่งเป้าไปที่ภาคน้ำมันและก๊าซ รวมถึงนักการเมืองรัสเซีย 20 คน และแกนนำกบฏแบ่งแยกดินแดนในยูเครนตะวันออก
ผู้นำสหรัฐฯชี้ว่า คำสั่งนี้ “มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าวเข้าใจชัดเจน และเป็นการยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ยอมการผนวกไครเมียเป็นของรัสเซีย”
คำสั่งนี้จะมีผลทำให้นักธุรกิจอเมริกันไม่สามารถริเริ่มลงทุนใหม่ๆ ในไครเมียได้ และให้อำนาจกระทรวงการคลังคว่ำบาตรบุคคลและบริษัทซึ่งไปเปิดกิจการที่นั่น นอกจากนี้ การซื้อขายเทคโนโลยีและบริการระหว่างสหรัฐฯ และไครเมียก็ไม่สามารถกระทำได้อีกต่อไป
“ผมขอเตือนรัสเซียอีกครั้งให้ยุติความพยายามยึดครองคาบสมุทรไครเมีย หยุดให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคตะวันออกยูเครน และปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงที่กรุงมินสก์” โอบามา กล่าว
แผนสันติภาพซึ่งผู้แทนรัฐบาลยูเครนและฝ่ายกบฏได้กระทำ ณ เมืองหลวงของเบลารุสนำมาสู่การบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงในภาคตะวันออกยูเครนก็จริง แต่ยังไม่อาจยุติการสู้รบได้อย่างถาวร
ก่อนหน้านั้น 1 วัน โอบามา ได้ลงนามกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม ซึ่งกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งอาวุธหนักเข้าไปสนับสนุนกองทัพยูเครนด้วย
รัสเซียส่งทหารเข้าไปยังคาบสมุทรไครเมียในเดือนมีนาคม หลังเกิดการปฏิวัติในยูเครนซึ่งส่งผลให้ประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช ผู้มีจุดยืนเอียงข้างมอสโกต้องพ้นจากอำนาจ อีกทั้งผลประชามติในไครเมียก็ระบุชัดเจนว่า พลเมืองที่นั่นต้องการเป็นส่วนหนึ่งของแดนหมีขาวมากกว่าอยู่ใต้การปกครองของกรุงเคียฟ
เมื่อวันพฤหัสบดี(18) สหภาพยุโรปก็ได้ประกาศคว่ำบาตรไครเมียทั้งในด้านการลงทุนและการเดินเรือ อีกทั้งเรียกร้องให้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย “เปลี่ยนจุดยืน” ต่อปัญหาความขัดแย้งในยูเครนเสีย