xs
xsm
sm
md
lg

วุฒิสภาสหรัฐฯเดินหน้าเปิดรายงาน 480 หน้า แฉ " CIA ทรมานอัลกออิดะห์" ถึงแม้มีเสียงขู่ “ทหารสหรัฐฯต่างแดนอาจถูกโจมตี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - คณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯประจำวุฒิสภาที่มีสว.รัฐแคลิฟอร์เนีย ไดแอน ไฟน์สไตน์ นั่งเป็นประธานยังคงจะออกรายงานจำนวน 480 หน้าในวันนี้(9) เปิดเผยโครงการพิเศษของ CIA ที่ระบุว่า มีการใช้ขั้นตอนการทรมานเพื่อเค้นหาขอมูลจากนักโทษกลุ่มมุสลิมติดอาวุธอัลกออิดะห์หลังเหตุการณ์ 11 กันยา 2001 ถึงแม้จะมีคำขู่จากหลายฝ่ายเตือนว่า เมื่อรายงานฉบับนี้เปิดเผยสู่สาธารณะ จะทำให้ทหารสหรัฐฯทั้งชายและหญิงที่ประจำอยู่ทั่วทุกมุมโลกตกอยู่ในอันตราย รวมถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯทั่วโลก

ทำเนียบขาวยืนยันอย่างเป็นทางการในวันจันทร์(8)ว่า รายงานจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯที่มี ไดแอน ไฟน์ไสตน์ สว.รัฐแคลิฟอร์เนีย สายพรรคเดโมแครตนั่งเป็นประธานจะยังคงออกตามกำหนดในวันอังคาร(9) ถึงแม้จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศ สหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนในสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงผลกระทบต่อสหรัฐฯที่จะเกิดทั่วโลกก็ตาม

ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าถึงแม้ จะได้รับการวิพากษ์ทั่วสหรัฐฯ แต่ทว่ารายงาน 480 หน้าจะเปิดเผยถึงโครงการสอบปากคำลับของ CIA ภายใต้รัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ใช้กับผู้ต้องขังสมาชิกมุสลิมติดอาวุธ

เอเอฟพีรายงานว่า นับตั้งแต่มีการผลดรัฐบาลจากพรรครีพับลิกันมาเป็นพรรคเดโมแครตภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ทำเนียบขาวพยายามที่จะทำให้จุดยืนของสหรัฐฯนั้นห่างไกลจากโครงการลับทางความมั่นคงในอดีตที่อื้อฉาว พร้อมทั้งยังสั่งให้เทคนิกการสอบปากคำแบบพิเศษที่ CIA ใช้ผิดกฏหมาย

“เราได้ยินจากคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯว่าพวกเขามีความตั้งใจจะเปิดเผยรายงานตามกำหนดในวันพรุ่งนี้” จอช เอิร์นเนส (Josh Earnest )โฆษกทำเนียบขาวแถลง และกล่าวต่อว่า “มาตรการที่รอบคอบออกมาเพื่อเฝ้าระวังให้กับสถานทูตสหรัฐฯในต่างแดน รวมไปถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าเนื้อหาของรายงานฉบับนี้ที่มีบางส่วนได้รั่วออกไปสู่สื่อ นั้นอาจจะสร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่อาจกล่าวได้ว่าทางทำเนียบขาวสนับสนุนการเปิดเผยรายงานฉบับนี้ที่รายงานโดยอ้างอิงจากการทำให้ชั้นความลับทางข้อมูลถูกเปิดเผย”

เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นที่เข้าใจว่า เนื้อหาโดยรวมของรายงาน 480 หน้านั้นครอบคลุมไปถึงการปฎิบัติต่อสมาชิกก่อการร้ายที่ถูกสหรัฐฯจับกุมจำนวน 100 คนในช่วงปี 2001-2009 หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา ที่สหรัฐฯถูกกลุ่มอัลกออิดะห์โจมตีในปี 2001 และส่งผลให้สัญลักษณ์การค้าเสรีของโลก ตึกแฝด World Trade ในนิวยอร์กถล่มลงมาพร้อมกับมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

ซึ่งวิธีการสอบปากคำรวมไปถึง เช่น จับให้นักโทษถูกน้ำลดหน้า ปิดกั้นการหายใจทางจมูกและทางปาก รวมไปถึงมัดมือของผุ้ต้องขังไพล่หลังและจับแขวนตรึง เพดาน หรือสั่งให้สมาชิกกลุ่มติดอาวุธเปลือยเปล่าและอยู่ในท่าที่ทรมานร่างกายพร้อมทั้งใช้สุนัขทหารคอยคำรามขู่กรรโชก ในคุกกวนตานาโม ฐานทัพสหรัฐฯ ในคิวบา

ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯออกมายอมรับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ “เราทรมานคนจำนวนหนึ่งจริง” โอบามากล่าว พร้อมอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนของรายงาน

แต่กระนั้น CIA ได้ออกมาปกป้องวิธีการสอบปากคำที่ใช้โดยอ้างว่า วิธีรีดข้อมูลแบบพิเศษนี้ได้ปกป้องชีวิตคนอเมริกันจากการก่อการร้าย โดยสามารถเปิดเผยเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ แต่ทว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมากได้วิพากษ์ว่า เป็นการสวนทางกับสิ่งที่สหรัฐฯให้ความสำคัญ และยิ่งจะทำให้ทัศนคติที่เป็นลบต่อสหรัฐฯนั้นลงรากหยั่งลึกมากขึ้น

ทั้งนี้รายงานกว่า 6,200 หน้าที่ถูกจัดเตรียมโดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯ ได้ถูกเลือนการเปิดเผยออกไปก่อนหน้านี้เนื่องมาจากปฎิกริยาที่เกิดขึ้นหลายฝ่าย และอีกทั้งในช่วงเวลาการจัดทำ ไฟน์สไตน์ได้ออกมาเปิดเผยว่า CIA ไม่ให้ความร่วมมือ รวมไปถึงขัดขวางการทำงานของคณะกรรมาธิการ เช่น การแอบมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ที่เข้าถึงเอกสารลับซึ่งทาง CIA จัดให้สำหรับสมาชิกคณะกรรมาธิการที่สำนักงานของหน่วยงาน CIA เป็นต้น

และเอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการลงมติในคณะกรรมาธิการชุดนี้อย่างท่วมท้นถึงที่จะอนุญาตให้เปิดเผยรายงาน 500 หน้า ที่มีการสรุปสาระสำคัญ รวมไปถึง 20บทสรุปที่ครอบคลุมเอกสารลับของหน่วยงาน CIA

ในขณะนั้นไฟน์สไตน์ประกาศว่า ผลที่ออกมานั้นน่าตกใจ และเรียกร้องที่จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวในการกรุยทางนำไปสู่การเปิดเผยชั้นความลับของเอกสารต่อสาธารณะชน

ซึ่งโอบามาตอบรับข้อเรียกร้องนี้อย่างฉับพลัน

แต่กระนั้นกลับเป็นรอยร้าวลึกระหว่างหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯและสมาชิกรัฐสภาคองเกรซ ซึ่งโฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่า “ทางเราพยายามเปิดเผยเอกสารชั้นความลับเท่าที่รายงานชิ้นนี้ระบุให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว เพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯเชื่อในหลักการที่ว่า มีความจำเป็นที่ต้องเปิดเผยรายงานชิ้นนี้เพื่อให้คนทั่วโลกและประชาชนสหรัฐฯได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “ความโปร่งใสเป็นเช่นใด” ”

ทั้งนี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯได้สั่งการให้สถานทูตสหรัฐฯทั่วโลกอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม และสั่งให้หน่วยงานเหล่านนั้นเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนนโยบายรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานตนเองล่วงหน้าก่อนรายงานของไฟน์สไตน์จะถูกเผยแพร่ โดยใช้ความน่าจะเป็นทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นตัวกำหนด

และแหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศให้ข้อมูลว่า จากการที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศยืนยันคำพูดของเคร์รีที่ว่า การเปิดเผยรายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯนั้นมีผลอย่างละเอียดอ่อนกับนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเคร์รีมีความกังวลถึงความปลอดภัยตัวประกันชาวสหรัฐฯทั่วโลก โดยความจริงแล้ว อาจตีความได้ว่าเจ้ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯพยายามจะถ่วงเวลาให้รายงานฉบับนี้เปิดเผยสู่สาธารณะให้ช้าที่สุด

ซึ่งเห็นได้ว่าที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯมักตกเป็นเป้าการประท้วงในประเทศอาหรับและกลุ่มประเทศแอฟริกาเหนือ เช่น ในเดือนกันยายน 2012 กงสุลสหรัฐฯในเบงกาซี ลิเบีย ตกเป็นเป้าการโจมตี และทำให้คริส สตีเวนส์ (Chris Stevens) อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย พร้อมชาวอเมริกันอีก 3 รายถูกสังหารจากกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงมาพร้อมกับผู้ประท้วงที่ไม่พอใจคลิปภาพยนต์ที่สร้างหมิ่นศาสนาอิสลาม

และนอกจากสถานทูตสหรัฐฯทั่วโลกที่ต้องเตรียมรับมือแล้ว CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า มีคำสั่งให้ทหารสหรัฐฯที่มีประจำทั่วโลกที่ประจำการอยู่นั้นอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมเพื่อรับการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากเนื้อหารายงานถูกเปิดเผยออกไป โดยโฆษกเพนตากอนยืนยันกับสื่อสหรัฐฯว่า  นาวิกโยธินสหรัฐฯ หรือ US Marine Corp นั้นถูกสั่งเตรียมความพร้อมสูงสุดจากกองบัญชาการสุงสุดสหรัฐฯ (Central Command)  และกองบัญชาการแอฟริกา(Africa Command ) ให้ปฎิบัติหน้าที่หากถูกร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานสหรัฐฯในต่างแดนที่มี 2,000 นายกระประจำอยู่ในอิตาลี และ สเปน อีก 2,000 นายประจำอยู่ในตะวันออกกลาง และ 2,200 นายประจำบนเรือที่วิ่งในทะเลอาหรับ และอ่างเอเดน รวมไปถึงอีก 3 หน่วยที่แต่ละหน่วยมีทหารนาวิกโยธินจำนวน 50 นายประจำที่ญี่ปุ่น บาห์เรน และสเปน นั้นได้รับการฝึกเพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับสถานทูตสหรัฐฯ



กำลังโหลดความคิดเห็น