บีบีซีนิวส์ - สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขคริสตจักรคาทอลิก เรียกร้องบรรดาผู้นำมุสลิมทั่วโลก ให้ออกมาประณามการก่อการร้ายที่กระทำการโดยอ้างชื่อศาสนาอิสลาม โดยทรงมองว่าจะสามารถช่วยขจัดอคติที่เหมารวมศาสนาอิสลามกับการก่อการร้ายเอาไว้ด้วยกัน
พระสันตะปาปาฟรานซิส ตรัสเรื่องนี้ระหว่างทรงอยู่บนเครื่องบินเดินทางกลับกรุงโรม ภายหลังเสด็จเยือนตุรกีเป็นเวลา 3 วันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพระองค์ทรงหารือกับผู้นำของศาสนาและนิกายอื่นๆ เกี่ยวกับความเชื่อความศรัทธาที่แตกต่างกัน
ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ตรัสว่า พระองค์ประณามผู้ที่บอกว่า “ชาวมุสลิมทุกคนเป็นผู้ก่อการร้าย” เช่นเดียวกับการสรุปว่า ชาวคริสต์ทุกคนเป็นผู้เคร่งจารีต (fundamentalist) ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ระหว่างอยู่ที่นครอิสตันบูล เมืองสำคัญในตุรกี ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก และถือเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของคริสต์ศาสนาในอดีตกาล พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้ยุติการทำร้ายและสังหารชาวคริสเตียนในตะวันออกกลาง
ในแถลงการณ์ร่วม ของพระสันตะปาปาและสมเด็จพระสังฆราชบาร์โธโลมิวที่หนึ่ง แห่งคริสตจักรออโธดอกซ์ ทั้งสองพระองค์ระบุว่า ไม่สามารถยอมรับ “ตะวันออกกลางที่ปราศจากชาวคริสต์ได้”
พระสังฆราชบาร์โธโลมิว เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ที่มีผู้นับถือ 250 ล้านคนทั่วโลก ศาสนจักรออร์โธดอกซ์เกิดการแตกแยกและตัดขาดจากศาสนจักรคาทอลิกในกรุงโรมเมื่อปี 1054
เมืองคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งก็คือนครอิสตันบูลในปัจจุบัน คือศูนย์กลางชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์จนกระทั่งจักรวรรดิออตโตมันของชาวตุรกีเข้าครอบครองในปี 1453
ปัจจุบันยังมีชาวคริสต์ในตุรกีอยู่ราว 120,000 คน ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้นับถือศาสนาอิสลาม
ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในอิรักและซีเรียช่วงไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ ชาวคริสต์ได้ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง โดยเฉพาะจากกลุ่มนักรบสุดโต่ง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ที่เข้ายึดเมืองโมซุลในอิรักในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
แถลงการณ์ร่วมของพระสันตะปาปาฟรานซิส และพระสังฆราชบาร์โธโลมิว ระบุว่า ทั้งสองพระองค์ต่างทรงมีความวิตกห่วงใยร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในอิรัก ซีเรีย และตะวันออกกลางโดยรวม
“พี่น้องของเรามากมายถูกสังหาร และถูกบังคับด้วยความรุนแรงให้ทิ้งบ้านเรือน และยังดูเหมือนว่า คุณค่าของชีวิตมนุษย์สูญหายไป ชีวิตของคนไม่มีความสำคัญอีกต่อไปและต้องสังเวยให้กับผลประโยชน์ของคนอื่น ที่น่าเศร้าใจคือ คนมากมายไม่สนใจใยดีกับเหตุการณ์เหล่านี้”
ผู้นำศาสนาคริสต์ทั้งสองนิกายยังเรียกร้องสันติภาพในยูเครน ที่ซึ่งความขัดแย้งรุนแรงที่ปะทุขึ้นในปีนี้ตอกย้ำความแตกแยกระหว่างชุมชนออร์โธดอกซ์ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ในประเทศนั้น กับชุมชนชาวคาทอลิก
แถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในยูเครน หันหน้าเจรจาและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติความขัดแย้งและเปิดโอกาสให้ชาวยูเครนได้อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
ก่อนสิ้นสุดการเยือนตุรกีเมื่อวันอาทิตย์ (30 พ.ย.) พระสันตะปาปาทรงพบกับผู้นำแรบไบในประเทศนั้น โดยที่ตุรกียังเหลือผู้นับถือศาสนายิวอยู่เพียง 17,000 คน
ระหว่างเยือนกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี พระสันตะปาปายังเรียกร้องให้มีการสานสนทนากับชาวมุสลิม เพื่อรับมือกับลัทธิคลั่งศาสนาและลัทธิหัวรุนแรง
โป๊ปฟรานซิสยังเสด็จไปยังมัสยิดสีฟ้า ในนครอิสตันบุล ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมัน และทรงหันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งนครเมกกะ ทรงกุมมือและสงบเป็นเวลา 2 นาที ขณะที่ ราห์มี ยารัน แกรนด์มุฟตีแห่งอิสตันบูล กล่าวเทศนาในพิธีละหมาดของชาวมุสลิม
จากนั้น พระสันตะปาปาเสด็จไปเยือนฮาเกีย โซเฟีย ซึ่งเคยเป็นมหาวิหารออร์โธดอกซ์ที่สำคัญที่สุดเป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นมัสยิดภายใต้จักรวรรดิออตโตมันนานเกือบ 5 ศตวรรษ และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
มาร์ก โลเวน ผู้สื่อข่าวของบีบีซีในอิสตันบูลแสดงความเห็นว่า เมื่อมองว่า อิสตันบูลเป็นเมืองที่ถูกส่งผ่านจากจักรวรรดิไบแซนไทน์สู่จักรวรรดิออตโตมัน และเป็นสถานที่ที่ศาสนาและวัฒนธรรมต่างๆ มาบรรจบกัน ดังนั้น การที่โป๊ปทรงเลือกส่งสาส์นเกี่ยวกับความศรัทธาในศาสนาและนิกายต่างๆ ในเมืองนี้จึงถือว่า มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง