เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สะกดโวหารเผ็ดร้อนที่ปักกิ่งนิยมใช้ก่อนหน้านี้ หันมาเรียกร้องแดนมังกรขยายนโยบายการต่างประเทศซึ่งเน้นความร่วมมือและการทูต อันเป็นการตอกย้ำให้ห็นว่า จีนกำลังหันมาใช้นโยบายที่ประนีประนอมมากขึ้น
ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 พ.ย.) ประมุขแดนมังกรได้กล่าวในการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงวันศุกร์ (28 พ.ย.) และวันเสาร์ (29 พ.ย.) ที่ผ่านมาว่า จีนควรส่งเสริมแนวทางแก้ไขข้อพิพาทและความขัดแย้งระหว่างประเทศผ่านการเจรจาและหารือ และคัดค้านการจงใจใช้กำลัง หรือขู่จะใช้กำลัง
“เราเสนอแนะให้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ที่สนับสนุนด้วยการร่วมมือแบบที่ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย” สีกล่าวในการประชุมผู้นำระดับสูงที่พรรคคอมมิวนิสต์จัดขึ้น เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ พร้อมระบุว่า จีนส่งเสริมวิสัยทัศน์ใหม่ที่ประกอบด้วยความมั่นคงร่วมกัน ครอบคลุม ร่วมมือ และยั่งยืน
การแสดงทัศนะของสีถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ล่าสุดว่า ปักกิ่งหันมาใช้นโยบายการต่างประเทศที่ประนีประนอมมากขึ้น และบรรเทาความวิตกกังวลที่ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะเป็นการแผ่อิทธิพลทางการทูตและการทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ต้นเดือนนี้ จีนพยายามปรับความสัมพันธ์กับทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอเมริกา ในระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ซึ่งจัดขึ้นที่ปักกิ่ง
นอกจากนั้น นับจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา จีนสัญญาให้เงินสนับสนุนรวมแล้วมากกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ แก่แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียกลาง ซึ่งรวมถึงกองทุน “เส้นทางสายไหมเส้นใหม่” มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ และการก่อตั้งธนาคารการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย มูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์
“เราควรเพิ่มอำนาจละมุน (soft power) สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และมีการสื่อสารกับโลกอย่างดียิ่งขึ้น” สีกล่าวแต่ก็ย้ำว่า จีนยังจะต้อง “ยืนหยัดมั่นคง” ในเรื่องการพิทักษ์รักษาอธิปไตยเหนือดินแดน สิทธิและผลประโยชน์ทางทะเล และความเป็นเอกภาพของประเทศ
ทั้งนี้ ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา จีนถูกมองว่าใช้แนวทางแบบนักเคลื่อนไหวเชิงรุก เพื่อปกป้องการที่ตนประกาศอ้างสิทธิเหนืออาณาบริเวณเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ โดยล่าสุดคือสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศแดนมังกรได้แถลงตอกกลับ “คำวิจารณ์ไร้ความรับผิดชอบ” จากทางการอเมริกา ที่เรียกร้องให้ปักกิ่งยุติโครงการถมทะเลบนหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่หลายชาติพิพาทช่วงชิงกรรมสิทธิ์กันอยู่ หลังจากสิ่งพิมพ์ด้านกลาโหมชั้นนำฉบับหนึ่งรายงานโดยอ้างอิงภาพถ่ายดาวเทียมว่า จีนกำลังถมทะเลบนแนวหินโสโครกในทะเลจีนใต้ จนเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่พอใช้เป็นลานบินได้
นอกจากนั้น จีนยังปีนเกลียวกับญี่ปุ่นมาตลอดสองปีที่ผ่านมา หลังจากโตเกียวเข้าครอบครองหมู่เกาะเซงกากุในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งจีนอ้างสิทธิเช่นกันและเรียกว่า หมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์สองประเทศดีขึ้นชัดเจนหลังจากสีพบกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เดือนที่ผ่านมา กระนั้น เรือยามฝั่งของจีนยังคงลาดตระเวนรอบหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์เช่นเดิม
ในอีกด้านหนึ่ง จีนมองว่า การที่สหรัฐฯประกาศใช้นโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” นั้น เป็นการมุ่งปิดล้อมจำกัดอิทธิพลของตน ระหว่างการปราศรัยคราวนี้ สีไม่ได้พาดพิงถึงอเมริกาโดยตรง แต่ก็บอกว่า ปักกิ่งควรจัดการกับความสัมพันธ์กับประเทศใหญ่อื่นๆ อย่างดี
“โอกาสใหญ่ที่สุด ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและการเพิ่มความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องของเราเอง” ผู้นำจีนบอก