เอเจนซีส์ – หลังจากข่าวคำตัดสินคณะลูกขุนเต็มคณะในคดีสังหารไมเคิล บราวน์ออกมา และนำไปสู่จลาจล 3 วันติดต่อกัน รวมปถึงการประท้วงทั่วสหรัฐฯ และข้ามฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังอังกฤษ ที่มีการประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงลอนดอน ล่าสุดโฆษกเกาหลีเหนือ ประกาศ เหตุการ์โกลาหลเฟอร์กูสันชี้ว่า สหรัฐฯยังคงเป็นรัฐที่ห่างไกลจากสิทธิมนุษยชน ซึ่งยังเป็นประเทศที่มีการเหยียดเผ่าพันธุ์มนุษย์
เดลิเมล สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(28) ว่าเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์โจมตีสหรัฐฯ โดยชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำทางด้านสิทิมนุษยชนในประเทศโดยใช้เหตุการณ์ประท้วงเฟอร์กูสันเป็นหลักฐาน
ในแถลงการณ์เกาหลีเหนือเรียกสหรัฐฯว่า เป็น “ทุนดราทางสิทธิมนุษยชน” ซึ่งทุนดรา หรือหรือ ภูมิอากาศแบบอาร์กติกมีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี แม้ในช่วงฤดูร้อนสั้นๆ ซึ่งถือเป็นสภาพที่โหดร้ายและกันดาร
โดยเกาหลีเหนือใช้การลงมติของคดีเฟอร์กูสันที่ไม่สั่งฟ้องตำรวจผิวขาววัย 28 ปีที่สังหารวัยรุ่นผิวสีอเมริกัน ไมเคิล บราวน์ วัย 18 ปีด้วยการยิงถึง 12 นัด โดยชี้ว่า นี่เป็นหลักฐานชี้ว่า “สหรัฐฯยังคงเป็นรัฐเหยียดชาติพันธุ์มนุษย์”
“นี่เป็นหลักฐานพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯนั้นเป็นทุนดราทางสิทธิมนุษยชน ที่การกระทำเหยียดหยามทางเชื้อชาติยังกระทำได้อย่างกว้างขวางและเปิดเผย” โฆษกรัฐบาลเกาหลีเหนือให้สัมภาษณ์กระบอกเสียงประเทศ KCNA
แถลงการณ์ครั้งนี้มีขึ้น 1 สัปดาห์หลังจากองค์การสหประชาชาติพยายามผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงออกมติให้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดี คิม จองอึน ขึ้นศาลอาญากรรมระหว่างประเทศ หรือ ICC ในเหตุอาชญากรรมที่กระทำต่อมนุษยชาติ ซึ่งมีญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปเป็นผู้เสนอ โดยระบุว่าเกาหลีเหนือละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับชาติใดได้ในปัจจุบันนี้ แต่เปียงยางโต้กลับว่า ข้อเสนอนี้ถูกสหรัฐฯบงการอยู่เบื้องหลังเพื่อทำให้ผู้นำประเทศ คิม จองอึน ได้รับความอับอาย
ในแถลงการณ์ยังระบุว่า สิ่งที่น่าเย้ยหยันมากที่สุด เมื่อสหรัฐฯที่พยายามใช้มาตรฐานของตนจับผิดประเทศอื่น แต่กลับกลายเป็นว่า สหรัฐฯเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียเอง โฆษกกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือระบุ
นอกจากเกาหลีเหนือแล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมารัสเซียได้ออกแถลงการณ์ประนามสหรัฐฯในคดีเฟอร์กูสันด้วยเช่นกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยย้ำว่า “การเหยียดหยามทางชาติพันธุ์มนุษย์ในสหรัฐฯนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ส่งผลก่อให้เกิดความไม่สงบในประเทศ และทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคมในที่สุด”