เอเอฟพี - ตำรวจเนปาลออกมาระบุในวันนี้ (24 พ.ย.) ว่ายอดผู้เสียชีวิตจากรถบัสที่เกิดอุบัติเหตุในภาคตะวันตกของประเทศ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 47 ราย ขณะที่หน่วยกู้ภัยยังคงเร่งค้นหาศพอื่นๆ เพิ่มเติม
กู้ภัยฉุกเฉินได้นำร่างของผู้เสียชีวิต 44 รายออกมาจากซากของรถบัสที่อัดแน่นไปด้วยศพตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำเมื่อวันพฤหัสบดี โดยที่มีอีก 3 ศพที่ถูกพบแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาร่างของเหยื่อรายอื่นๆ ในแม่น้ำต่อไป
ทั้งนี้ อุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในประเทศเนปาล เนื่องจากสภาพถนนที่ย่ำแย่ บวกกับตัวรถที่ขาดการดูแลรักษา แถมยังขับขี่ด้วยความประมาท
ดิเนช รัจ ไมนาลี ผู้บังคับการตำรวจจาจาร์คอต ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันขณะนี้อยู่ที่ 47 ราย
"เราได้กู้ร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่ติดอยู่ในซากรถบัสออกมาแล้ว ตอนนี้เรากำลังหาร่างของเหยื่อรายอื่นๆ ที่อาจจะอยู่นอกรถ" เขากล่าว
ตำรวจเชื่อว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่คนขับรถบัสเห็นรถแทร็คเตอร์โผล่ออกมาจากฝั่งตรงข้าม จึงได้หักหลบแล้วหลุดออกจากถนนตกลงไปในแม่น้ำ
มีเพียงแค่ 45 คนที่มีรายชื่อเป็นผู้โดยสารของรถบัสคันนี้ แต่ตำรวจเชื่อว่าคนขับน่าจะจอดรับคนเพิ่มระหว่างทาง โดยที่ไม่มีการใส่เพิ่มไว้ในรายชื่อผู้โดยสาร
"มีการรับผู้โดยสารเกินกำหนด เพราะมีเก้าอี้แค่ 42 ที่นั่งบนรถบัสคันนี้" ไมนาลี กล่าว
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย ล้วนถูกนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงหลังเกิดอุบัติเหตุ โดยมีหลายครอบครัวพากันแห่ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อสอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับคนที่พวกเขารัก
เครือข่ายถนนหนทางในเนปาลมีการขยายตัวเพิ่มถึง 4 เท่าตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่มันก็ส่งผลให้มีตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลตัวเลขอย่างเป็นทางการ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 1,816 ราย ในช่วงระยะเวลา 1 ปี (2012-2013) เพิ่มขึ้นจากตัวเลข 682 รายของเมื่อสิบปีก่อน
ในเดือนตุลาคมปี 2011 เกิดอุบัติเหตุรถบัสที่บรรทุกผู้โดยสาร 60 ราย ตกลงไปในแม่น้ำขณะกำลังเดินทางไปกาธมันดู ทำให้มีผู้เสียชีวิต 41 ราย
เมื่อเดือนที่แล้ว มีรถบัสที่อัดแน่นไปด้วยผู้โดยสาร ตกลงจากเนินเขาในเมืองแห่งหนึ่งบริเวณรอบนอกของกาธมันดู ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย เป็นชาวอิสราเอล 2 ราย
ส่วนในเดือนนี้ ก็มีอุบัติเหตุรถบัสสองคันชนกันบนทางหลวงในภาคกลางของเนปาล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย มีหญิงชาวรัสเซียหนึ่งรายอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิตด้วย
