xs
xsm
sm
md
lg

“ปูติน” ลั่นเศรษฐกิจปลอดภัย-ไม่โดดเดี่ยว “ขู่” หาหุ้นส่วนใหม่โปรเจกต์พลังงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย (ซ้าย) หารือกับเจ้าชาย ซัลมาน บิน อับดุล อาซิซ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย (ขวา) ในการประชุมซัมมิตจี 20 ทีออสเตรเลีย (15 พ.ย.)
เอเจนซีส์ - “ปูติน” ลั่นมอสโกไม่มีวันถูกโดดเดี่ยวจากสถานการณ์โลก ยันเศรษฐกิจปลอดความเสี่ยงจาก “หายนะ” แห่งการรุมกระหน่ำซ้ำเติมของมาตรการลงโทษจากตะวันตก และแนวโน้มราคาน้ำมันขาลง รวมทั้งการอ่อนค่าของเงินรูเบิล ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวหาตะวันตกพยายามใช้มาตรการแซงก์ชันกดดันให้มีการ “เปลี่ยนระบอบในรัสเซีย” ขณะที่รัฐมนตรีพลังงานผสมโรง ขู่หากบริษัทตะวันตกถอนตัวจากโครงการน้ำมันและก๊าซที่ทำร่วมกัน มอสโกอาจหาพันธมิตรใหม่ในประเทศที่ไม่มีมาตรการลงโทษรัสเซีย

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิตาทาสส์เมื่อวันอาทิตย์ (23) ว่า รัสเซียเข้าใจดีถึงหายนะจากกำแพงเหล็กที่มีต่อประเทศ “แต่เราจะไม่เดินตามเส้นทางนี้ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม และไม่มีใครจะสามารถสร้างกำแพงเหล็กล้อมรอบเราได้ ไม่มีทาง”

ย้อนกลับไปเมื่อวันพฤหัสบดี (20) ประมุขเครมลินเตือนว่า โลกอาจได้เห็นโศกนาฏกรรมจากกระแส “การปฏิวัติสี” และมอสโกต้องป้องกันไม่ให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตนเอง

อนึ่ง การประท้วงของกลุ่มผู้สนับสนุนตะวันตกในยูเครนเมื่อปี 2004 ถูกเรียกว่า “การปฏิวัติสีส้ม” ขณะที่การประท้วงในจอร์เจียหนึ่งปีก่อนหน้านั้นเรียกขานกันว่า “การปฏิวัติดอกกุหลาบ”

ปูตินยังโจมตีว่า มหาอำนาจตะวันตกอยู่เบื้องหลังการโค่นล้ม วิกเตอร์ ยานูโควิช อดีตประธานาธิบดียูเครนที่สนับสนุนรัสเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายหลังการประท้วงนานหลายเดือน โดยมีจุดประสงค์เพื่อบ่อนทำลายอิทธิพลของรัสเซียในยูเครน ทว่า ตะวันตกกลับโทษว่า มอสโกเป็นต้นเหตุวิกฤตยูเครน

ความสัมพันธ์ตะวันตก-รัสเซียขณะนี้ถือว่า ตกต่ำสุดขีดนับจากสิ้นสุดสงครามเย็น

วันศุกร์ที่ผ่านมา (21) รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้เดินทางไปยังเคียฟ และวิจารณ์พฤติกรรมของรัสเซียในยูเครนว่า “รับไม่ได้” และเน้นย้ำว่า มอสโกต้องเคารพข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 5 กันยายน หากไม่ต้องการเผชิญ “ต้นทุนที่สูงขึ้น และถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น” แม้ขณะนี้ข้อตกลงดังกล่าวไม่สามารถยุติความขัดแย้งที่ทำให้มีผู้สังเวยชีวิตกว่า 4,300 คนนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ตาม

ไบเดน ยังเรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครนตะวันออกที่ถูกกบฏโปรรัสเซียยึดครอง และกำลังต่อสู้กับกองทัพยูเครน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เครมลินปฏิเสธมาตลอด

ต่อมาในวันเสาร์ (22) เซียร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวต่อที่ประชุมสภานโยบายต่างประเทศและกลาโหมในกรุงมอสโกว่า จากแนวคิดเบื้องหลังการใช้มาตรการทางการทูตแบบบีบบังคับ ตะวันตกกำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้ต้องการกดดันให้รัสเซียเปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบทั้งหมด

รัฐมนตรีต่างประเทศแดนหมีขาวสำทับว่า เมื่อนานาชาติใช้มาตรการลงโทษกับประเทศอื่นๆ เช่น อิหร่านและเกาหลีเหนือ มาตรการเหล่านั้นจะถูกกำหนดขึ้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงการทำลายเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมาย

“แต่ตอนนี้มีบุคคลสาธารณะหลายคนในตะวันตกเรียกร้องว่า มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการลงโทษที่ทำลายเศรษฐกิจและทำให้ประชาชนออกมาประท้วง” ลาฟรอฟระบุ

ทั้งนี้ มาตรการลงโทษของตะวันตกทำให้บริษัท และแบงก์ใหญ่ที่สุดบางแห่งของรัสเซียเข้าถึงเงินทุนต่างชาติได้อย่างจำกัด รวมทั้งมุ่งโจมตีอุตสาหกรรมกลาโหม พลังงาน และภาคบริการ ตลอดจนอายัดทรัพย์สิน และงดออกวีซ่าให้พันธมิตรใกล้ชิดบางคนของปูติน

มาตรการลงโทษเหล่านั้นฉุดเศรษฐกิจแดนหมีขาวที่ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำอยู่แล้วยิ่งทรุดลงอีก รวมทั้งทำให้เงินรูเบิลอ่อนค่าลงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์นับจากต้นปีเป็นต้นมา

ขณะเดียวกัน เมื่อวันเสาร์ อเล็กซันเดียร์ โนวัค รัฐมนตรีพลังงานรัสเซีย กล่าวระหว่างตอบข้อซักถามนักศึกษาในประเทศว่า หากบริษัทน้ำมันและก๊าซตะวันตกถอนตัวจากโครงการที่ทำกับรัสเซีย มอสโกอาจหาพันธมิตรใหม่ในประเทศที่ไม่ได้ร่วมลงโทษต่อรัสเซีย

ทั้งนี้ รัสเซียนั้นเป็นผู้ส่งออกพลังงานใหญ่ที่สุดของโลก และพึ่งพิงการส่งออกน้ำมันและก๊าซในการอุดหนุนงบประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ มาตรการลงโทษของตะวันตกส่งผลกระทบต่อการสำรวจแหล่งพลังงานในอาร์กติก และการพัฒนาแหล่งน้ำมันสำรองที่ยากต่อการคุ้มทุน

มาตรการแซงก์ชันส่งผลให้ เอ็กซอน โมบิล บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องระงับการร่วมงานในโครงการสำรวจแหล่งน้ำมันในอาร์กติกกับ รอสเนฟต์ ของรัสเซีย และ รอยัล ดัทต์ เชลล์ ต้องระงับการพัฒนาแหล่งน้ำมันสำรองในบาซฮีนอฟ ร่วมกับ ก๊าซปรอม เนฟต์ของรัสเซีย

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ รอสเนฟต์ตกลงกระชับความร่วมมือกับ ไชนา เนชันแนล ปิโตรเลียม คอร์เปอเรชัน ซึ่งรวมถึงโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และอาจรวมถึงการส่งแอลเอ็นจีให้แก่แดนมังกร
(แฟ้มภาพ) ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย (ขวา) และ อเล็กเซย์ มิลเลอร์ ซีอีโอของบริษัทก๊าซปรอม เข้าร่วมพิธีเปิดท่อส่งก๊าซ ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ทางตะวันออกของรัสเซีย (8 ก.ย. 2011)

กำลังโหลดความคิดเห็น