เอเอฟพี – องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล ออกมาเรียกร้องในวันนี้ (21) ว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียจะต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นศาสนาอันเข้มงวดของประเทศ พร้อมชี้ให้เห็นถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ถูกจำคุกเพียงเพราะความเชื่อของพวกเขาในช่วงไม่กี่ปีมานี้
กลุ่มสิทธิซึ่งมีฐานอยู่ในอังกฤษแห่งนี้ ระบุว่า การกักขังบุคคลภายใต้กฎหมายหมิ่นศาสนาได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นสูง “อย่างรวดเร็ว” ระหว่างช่วงเวลา 10 ปีที่อดีตผู้นำ ซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน อยู่ในอำนาจ ซึ่งส่งผลให้เรือนจำแดนอิเหนามีผู้ต้องคดีนี้มากกว่า 100 คน
โจโค วิโดโด ซึ่งรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว ควรยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปีและถูกนำมาใช้ลงโทษคนที่มี “ความผิดลหุโทษ” อย่างการผิวปากขณะสวดมนต์ แอมเนสตี กล่าวในรายงานที่เผยแพร่ในวันนี้ (21)
“เรามีหลักฐานยืนยันว่าบุคคลกว่า 100 รายถูกจำคุกเพราะเพียงแค่แสดงความเชื่อของเขาอย่างสันติ” รูเพิร์ต แอ็บบอตต์ รองผู้อำนวยการโครงการเอเชีย-แปซิฟิค ของแอมเนสตี กล่าว และเสริมว่า “รัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดี โจโค วิโดโด มีโอกาสที่จะพลิกกลับกระแสอันปั่นป่วนนี้และนำทางยุคสมัยใหม่ของการเคารพสิทธิมนุษยชน”
อินโดนีเซียเป็นบ้านของประชากรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งชนกลุ่มใหญ่ปฏิบัติตามแนวทางสายกลางของอิสลาม
อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี สังเกตว่า ผู้ที่ทุกข์ทนภายใต้กฎหมายหมิ่นศาสนาที่สุดคือบรรดาชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย และการยอมรับความเห็นทางศาสนาของผู้อื่นได้เสื่อมโทรมลงไปแล้ว
แอมเนสตี ระบุว่า หนึ่งในตัวอย่างของประเด็นนี้คือกรณีของ ทาจุล มูลุค ผู้นำมุสลิมนิกายชีอะห์ ที่กำลังรับโทษจำคุก 4 ปีฐานหมิ่นศาสนาและทำให้เกิด “ความวิตกกังวลในสังคม”
มูลุค เปิดโรงเรียนศาสนาในภาคตะวันออกของจังหวัดชวา จนกระทั่งพวกผู้นำมุสลิมสาสุหนี่ต่อต้านการสอนของเขาในฐานะ “สิ่งแปลกปลอม” และตำรวจได้ดำเนินคดีหมิ่นศาสนากับเขาในปี 2012 แอมเนสตีระบุ
ด้วยแรงกดดันจากฝูงชนที่โกรธเกรี้ยว ชาวชีอะห์ในหมู่บ้านของเขาถูกบีบบังคับให้ต้องละทิ้งบ้านเรือนจากไป
ในอีกกรณีหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ อัน วัย ข้าราชการพลเรือนวัย 30 ปี ถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปีครึ่งในปี 2012 ฐานโพสต์ความคิดเห็นบนเพจเฟสบุ๊คของผู้ถืออเทวนิยมท้องถิ่น และในกรณีนี้อีกเช่นกัน เขาถูกคุกคามจากฝูงชนเดือดดาลนอกที่ทำงาน
“พื้นที่เสรีภาพทางศาสนาที่กำลังหดเล็กลงในอินโดนีเซียตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งยวด ตอนนี้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด มีโอกาสที่จับประเด็นนี้มาทำให้ถูกต้องเสียที” แอ็บบอตต์ กล่าว