เอเจนซีส์ - ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าสัวคนดังชาวอังกฤษซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีดำเนินโครงการท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์ ออกโรงอีกครั้งในวันจันทร์ (3 พ.ย.) เพื่อตอบโต้พวกนักวิจารณ์ “ที่คอยแต่สร้างความเจ็บปวด” และ “พวกที่อ้างตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ” ภายหลังที่มีนักวิทยาศาสตร์ด้านจรวดผู้หนึ่งเปิดเผยว่า บริษัทเวอร์จิน กาแลกติก ของแบรนสัน เพิกเฉยละเลยคำเตือนด้านความปลอดภัยหลายต่อหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนยานสเปซชิปทูระเบิดเมื่อวันศุกร์ (31ต.ค.) ที่แล้ว ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่ง ทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนของทางการสหรัฐฯพบฟังก์ชันความปลอดภัยบางอย่างของยานลำนี้ทำงานก่อนกำหนด แม้ยังไม่ฟันธงว่า เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
แบรนสัน กล่าวในวันจันทร์ว่า หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่า “ไม่มีการระเบิดใดๆ” ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุยานสเปซชิปทู ตกระหว่างการบินทดสอบในทะเลทรายของมลรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันศุกร์ พร้อมกับประกาศให้สัญญาว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป
“ผมไม่เคยเห็นการเสียดสีเหน็บแนมอย่างไร้ความรับผิดชอบ การเสียดสีเหน็บแนมอย่างสร้างความเสียหายกันถึงขนาดนี้เลย” นักธุรกิจใหญ่ชื่อดังผู้นี้กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ข่าว สกาย นิวส์ เทเลวิชั่น โดยหมายถึงรายงานข่าวเชิงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงซึ่งปรากฏอยู่ตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในอังกฤษ
“พวกถังเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์ของยานก็ไม่ได้มีการแตกกระจายเป็นชิ้นๆ แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้มีการระเบิดใดๆ ถึงแม้จะมีพวกที่อ้างตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากกำลังบอกว่า การระเบิดคือสาเหตุของเรื่องนี้” เขากล่าว
ทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนของทางการสหรัฐฯระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า คันโยกใช้เปิดปิด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการด้านความปลอดภัยที่ส่วนหางของยานสเปซชิปทู ได้ถูกนักบินผู้ช่วยของยานเปิดขึ้นมาก่อนกำหนดอันสมควร ทว่าพวกเขาก็ย้ำว่ายังไม่ได้ถือว่านี่คือสาเหตุของอุบัติเหตุคราวนี้
ขณะที่ แคโรลีน แคมป์เบล ผู้เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนจรวดจากสมาคมระหว่างประเทศเพื่อความก้าวหน้าทางด้านความปลอดภัยในอวกาศ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในเนเธอร์แลนด์ กล่าวกับเอเอฟพีเมื่อวันอาทิตย์เช่นกันว่า หากยังไม่ได้รับข้อมูลทั้งหมด เธอคงไม่สามารถคาดเดาสาเหตุที่ยานท่องเที่ยวอวกาศ “สเปซชิปทู” ตกได้
อย่างไรก็ตาม แคมป์เบลเสริมว่า เธอได้เคยแจ้งเตือนบริษัทเวอร์จิน เกี่ยวกับมอเตอร์และเชื้อเพลิงของยานดังกล่าวหลายครั้งทั้งโดยลายลักษณ์อักษรและการพูดคุยทางโทรศัพท์ตั้งแต่ปี 2007 ที่มีวิศวกร 3 คนเสียชีวิตจากการทดสอบจรวดบนพื้นดิน แต่ไม่ได้รับความสนใจจากบริษัท
คำเตือนของแคมป์เบลนั้นเกี่ยวข้องกับไนตรัสออกไซด์ ซึ่งมีรายงานว่า ถูกใช้เป็นส่วนประกอบเชื้อเพลิงในสเปซชิปทู ควบคู่กับสารชนิดใหม่ที่ได้จากเม็ดพลาสติกไนลอน
ระหว่างให้สัมภาษณ์ สกาย นิวส์ ในวันจันทร์ แบรนสันยืนยันว่า จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป
“ผมมีความมั่นใจอย่างที่สุดว่า เวอร์จิน กาแลกติก นั้นมีอนาคตอันยิ่งใหญ่ ในทันทีที่ NTSB (คณะกรรมการความปลอดภัยในการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ) สามารถทำให้เป็นที่กระจ่างชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมา” เขากล่าว
“ถ้าหากทางเราเกิดต้องประสบอุบัติเหตุในวันแรกๆ ที่เริ่มต้นการขนส่งผู้โดยสารกันจริงๆ แล้ว มันก็จะเป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่งที่จะกอบกู้ฟื้นตัวจากสภาพเช่นนั้น ผมจึงหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ทำให้มีความแตกต่างออกไปนิดหน่อย
“เรามีนักบินทดสอบซึ่งกำลงทดสอบยานในสถานการณ์ที่สุดโต่งมากๆ ทั้งหลาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามันมีความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสาร” เขากล่าว
เขาย้ำด้วยว่า เขาจะเข้าไปอยู่ในยานด้วยตนเองในการบินเที่ยวบินแรก
“เราจะไม่เปิดบริการให้สาธารณชนขึ้นบิน จนกว่าเราจะสามารถให้ตัวผมและครอบครัวของผมขึ้นบินได้เสียก่อน”
ก่อนหน้านั้นในวันเสาร์ แบรนสัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเวอร์จิน กาแลกติก ได้เดินทางไปดูจุดเกิดเหตุที่ทะเลทรายโมฮาวี มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และแถลงว่า ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และบริษัทจะไม่หลับหูหลับตาผลักดันโครงการท่องอวกาศจนกว่าจะรู้สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
เขาเตือนด้วยว่า คนที่รีบด่วนออกมาคาดเดาถึงสาเหตุของการตกคราวนี้ ก่อนที่ NTSB จะแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นพวกไม่มีความรู้อะไรเลย
ขณะที่ จอร์จ ไวท์ไซด์ส ซีอีโอของเวอร์จิน แอตแลนติก ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน โดยบอกกับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ว่า เป็นธรรมดาที่ผู้คนในวงการการบินและอวกาศ ย่อมต้องมีความคิดเห็นและความโปรดปรานในเทคโนโลยีแตกต่างกันไป และเวอร์จิน กาแลกติกให้ความสนใจกับความคิดเห็นของวิศวกรหลายร้อยคนซึ่งเป็นทีมงานของบริษัท รวมถึงผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ที่บริษัทขอคำปรึกษาด้านเทคโนโลยี
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นขณะที่ทีมสอบสวนของNTSB ที่เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้นักบิน ไมเคิล อัลสเบอรี เสียชีวิต และนักบินผู้ช่วย พีท ซีโบลด์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
คริสโตเฟอร์ ฮาร์ต รักษาการประธาน NTSB แถลงเมื่อค่ำวันอาทิตย์ว่า ภาพจากกล้องตัวหนึ่งในห้องนักบินบ่งชี้ว่า บูมหาง ซึ่งเป็นฟังก์ชันความปลอดภัยสำคัญของยานในการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ได้ถูกหมุนก่อนเวลาโดยบังเอิญ โดยระบบดังกล่าวซึ่งจะช่วยสร้างแรงต้านในชั้นบรรยากาศ ได้ถูกโยกเปิดโดยนักบินผู้ช่วย
ขณะที่ยานเดินทางด้วยความเร็วสูงกว่า 1.0 เท่าของเสียง (มัค)เล็กน้อย ซึ่งตามปกติแล้ว จะไม่มีการใช้คันโยกเปิดปิดนี้จนกว่าความเร็วถึงระดับ 1.4 มัค
อย่างไรก็ดี ฮาร์ตสำทับว่า การค้นพบนี้ไม่ถือเป็นข้อสรุป แต่ยังต้องตรวจสอบกันอีกนานหลายเดือนกว่าจะระบุสาเหตุการตกของสเปซชิปทูได้ และบอกอีกว่า ทีมสอบสวนพบชิ้นส่วนสำคัญของยานเกือบครบแล้ว ซึ่งรวมถึงถังเชื้อเพลิง ถังออกซิไดเซอร์ และเครื่องยนต์ ซึ่งล้วนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ บ่งชี้ว่า ไม่มีการระเบิดแต่อย่างใด
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า อุบัติเหตุล่าสุดจะทำให้แผนให้บริการท่องเที่ยวอวกาศของเวอร์จิน กาแลกติก ล่าช้าออกไปหลายปี จากที่ตั้งเป้าประเดิมนำลูกค้ากระเป๋าหนักออกไปสุดขอบโลกในปีหน้า โดยคิดค่าบริการหัวละ 250,000 ดอลลาร์ และขณะนี้มีผู้สำรองที่นั่งแล้วถึง 700 คน
ทั้งนี้ เวอร์จิน กาแลกติกเป็นบริษัทในอเมริกาของเวอร์จิน กรุ๊ป ที่ก่อตั้งโดยแบรนสัน เจ้าอาณาจักรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่สายการบินจนถึงโทรศัพท์มือถือ และค่ายเพลง