รอยเตอร์ - สำนักวาติกันทุ่มงบติดตั้งระบบไฟส่องสว่างพร้อมเครื่องกรองอากาศสุดไฮเทค เพื่ออนุรักษ์จิตรกรรมปูนเปียกฝีมือศิลปินชื่อก้อง “มีเกลันเจโล” ภายในโบสถ์น้อยซิสทีน ซึ่งมีนักท่องเที่ยวแห่แหนเข้าชมเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
มลภาวะต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เหงื่อไคล และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจทำลายงานศิลปะชั้นเยี่ยมภายในโบสถ์ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 500 ปี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ภาพพระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เพื่อให้ชีวิตแก่อาดัม ฝีมือการวาดของมีเกลันเจโล จิตรกรและประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี ถือว่าเป็นภาพวาดปูนเปียกหรือ “เฟรสโก” ที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งในวงการประวัติศาสตร์ศิลปะ
เพื่อที่จะอนุรักษ์ภาพเขียนสีที่งดงามตระการตาเหล่านี้เอาไว้ สำนักวาติกันจึงจำกัดจำนวนผู้เข้าชมโบสถ์น้อยซิสทีน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดการประชุมลับของบรรดาพระคาร์ดินัล (conclave) เพื่อเลือกสรรบุคคลที่จะดำรงแหน่งสันตะปาปา ไม่ให้เกินกว่า 6 ล้านคนต่อปี
ระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศภายในโบสถ์น้อยซิสทีนได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อปี 1994 ซึ่งขณะนั้นจำนวนผู้เข้าชมโบสถ์ยังอยู่ที่ราวๆ 1.5 ล้านคนต่อปี แต่เมื่อนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ระบบที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอที่จะรักษาผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมยุคเรอเนสซองส์ให้คงสภาพสมบูรณ์เอาไว้ได้
ระบบปรับอากาศรุ่นใหม่จะช่วยให้อากาศหมุนเวียนอย่างช้าๆ ไม่กระทบต่อภาพจิตรกรรมที่ผนังและเพดานของโบสถ์ โดยจะใช้แนวท่อแอร์เดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ติดตั้งซ่อนไว้อย่างดีจนผู้เข้าชมโบสถ์ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
สำนักวาติกันยังได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด 2 ตัวไว้บริเวณภาพ “การพิพากษาครั้งสุดท้าย” (The Last Judgement) หลังแท่นบูชาภายในโบสถ์น้อยซิสทีน เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้เข้าชม ส่วนภายนอกก็ยังมีอุปกรณ์มอนิเตอร์อีก 70 ตัวคอยควบคุมการไหลเวียนของอากาศ กรองฝุ่นละออง และลดความชื้น
“โบสถ์แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้น เราจึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการศึกษาสภาพการไหลเวียนของอากาศในนี้ เพื่อจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสม” จอห์น แมนไดค์ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายการพัฒนายั่งยืนจากบริษัท แคร์เรียร์ (Carrier) ในเครือยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ระบุ
บริษัท ออสแรม (Osram) ของเยอรมนี ได้เข้ามารับผิดชอบติดตั้งหลอดแอลอีดีประมาณ 7,000 ดวง ซึ่งช่วยให้ประหยัดไฟลงได้สูงสุด 90 เปอร์เซ็นต์ และยังปลดปล่อยความร้อนน้อยกว่า จึงช่วยอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังให้คงสภาพอยู่ได้นาน
แผงไฟส่องสว่างจะมีอยู่ทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นต่ำที่สุดจะเปิดเมื่อไม่มีคนอยู่ในโบสถ์ ชั้นที่ 2 จะเปิดเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้าชมโบสถ์ ส่วนชั้นที่ 3 ซึ่งให้แสงสว่างและมีความร้อนมากที่สุดจะเปิดเฉพาะในช่วงที่มีพิธีการ
จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์น้อยซิสทีนเคยผ่านการบูรณะครั้งใหญ่นานถึง 14 ปี และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1994