เอเจนซีส์ - โทมัส อีริก ดันแคน (Thomas Eric Duncan) นักท่องเที่ยวชาวไลบีเรียที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นรายแรกในสหรัฐฯว่าติดเชื้ออีโบลามีอาการป่วยอยู่ในขั้นวิกฤต และตั้งแต่ถูกส่งเข้ายังโรงพยาบาลในรัฐเทกซัส ยังไม่ได้รับยาทดลองอีโบลาชนิดใดเลย โดยทางสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ หรือ CDC ให้เหตุผลว่า เซรุมทดลอง Zmapp หมดลงไปนานแล้ว ในขณะที่นายแพทย์อเมริกัน ริชาร์ด ซาครา อดีตผู้ป่วยอีโบลาที่ต้องถูกส่งตัวกลับ เข้าไปยังโรงพยาบาลในรัฐแมสซาชูเซตส์อีกครั้งด้วยหลังล้มป่วยด้วยโรคนิวโมเนียล่าสุดในวันอาทิตย์(5) ในผลการตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งไม่พบเชื้ออีโบลา และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯยังไม่ประกาศห้ามให้นักท่องเที่ยวจากแอฟริกาตะวันตกเดินทางเข้าประเทศถึงแม้ถูกกดดัน หลังจากก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(3) สหรัฐฯได้ประกาศแผนส่งกองกำลังเข้าไปยังไลบีเรียเพิ่มอีก 3,600นายเพื่อต่อสู้โรคอีโบลา
โทมัส อีริก ดันแคน (Thomas Eric Duncan) นักท่องเที่ยวชาวไลบีเรียวัย 42 ปีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยพบไวรัสอีโบลาเป็นรายแรกในสหรัฐฯหลังจากเดินทางเข้ามายังสหรัฐฯด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเพื่อแต่งงานกับคู่หมั้น หลุยส์ ทรอห์ (Louise Troh )คุณแม่วัย 54 ปีที่อาศัยอยู่กับลูกชายวัยรุ่นอายุ 13 ปีและหลานชายอีก 2 คน โดยเขาเข้ามายังสหรัฐฯตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนและตั้งแต่ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐเทกซัส ดันแคนยังไม่ได้รับยาทดลองอีโบลาขนานใดเลย
ผู้อำนวยการ CDC นายแพทย์ โทมัส ฟรีเดน (Dr. Thomas Frieden)แถลงเมื่อวานนี้(5)ว่า โทมัส อีริก ดันแคนในขณะนี้อยู่ในอาการวิกฤตกว่าแต่เดิมที่หนักอยู่แล้ว และคนไข้รายนี้ยังไม่ได้รับเซรุมทดลองZmapp ที่สามารถรักษาผู้ป่วยอเมริกัน 2 รายแรกจนหายขาด เพราะในขณะนี้เซรุมทดลองตัวนี้ได้หมดลงไปนานแล้ว และยังไม่สามารถผลิตในอนาคตอันใกล้
และเมื่อถามถึงเซรุมทดลองสัญชาติแคนาดาจากบริษัทเทคมิรา ฟามาซูติคอลส์ที่เคยใช้กับ นายแพทย์อเมริกัน ริชาร์ด ซาคราที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในรัฐเนแบรสกาจนหายปกติ ฟรีเดนให้ความเห็นว่า “ยาตัวนี้ไม่เหมาะกับดันแคน”
ทั้งนี้การพิจารณาที่จะให้การรักษาผู้ป่วยด้วยตัวยาชนิดนี้ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เจ้าของคนไข้ร่วมกับญาติและตัวคนไข้ ซึ่งหากแต้องการก็สามารถรับเซรุมทดลองสัญชาติแคนาดาได้
ในขณะเดียวกันหลังจากการประกาศพบอีโบลาในสหรัฐฯ ประชาชนอเมริกันโดยเฉพาะในดัลลัสต่างตื่นตระหนกถึงการแพร่ระบาดที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่รัฐเทกซัสล่าช้าในการกักกันโรค โดยพบว่าดันแคนถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเทกซัส เฮลท์ เพรสไบทีเรียนจ่ายแค่ยาปฎิชีวนะให้กับดันแคนที่เดินทางไปยังโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกด้วยตนเอง และถูกส่งตัวกลับบ้านถึงแม้เขาจะแจ้งกับทางโรงพยาบาลว่าเดินทางมาจากไลบีเรียก็ตาม และหลังจากที่ดันแคนถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเทกซัส เฮลท์ เพรสไบทีเรียนอีกครั้งด้วยรถพยาบาล และเข้าห้องปลอดเชื้อ แต่อพาทเมนต์ที่เขาพักอาศัยอยู่กับครอบครัวในสหรัฐฯยังไม่ถูกสั่งเป็นเขตกักกันโรค หรือส่งเจ้าหน้าที่การแพทย์ไปฆ่าเชื้อ หรือตรวจดูคนที่อาศัยในแฟลตแต่ประการใด
นอกจากนี้นักเรียนจำนวน 5 คนที่ได้มีโอกาสติดต่อกับดันแคนในช่วงสุดสัปดาห์แรกของดันแคนในอเมริกาเดินทางไปโรงเรียนตามปกติก่อนที่จะได้รับคำแนะนำให้อยู่แต่ภายในบ้านในกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความตระหนกให้กับผู้ปกครองในดัลลัสเป็นอย่างมากเนื่องจากเกรงว่าลูกหลานที่เรียนร่วมกับเด็กเหล่านั้นจะป่วยไปด้วย
และล่าสุดครอบครัวในสหรัฐฯของดันแคนถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากอพาทเมนต์ไอวีในวันเสาร์(4)ไปยังในที่หนึ่งซึ่งไม่เปิดเผย และห้องอพาทเมนต์ที่ครอบครัวดันแคนอาศัยได้รับการฆ่าเชื้อ และนำที่นอนของดันแคนไปทิ้ง รวมถึงใช้พลาสติกขนาดใหญ่สีดำคลุมที่รถของบครอบครัวดันแคน นอกจากนี้เดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานว่า หลุยส์ ทรอห์ วัย 54 ปีหญิงที่ดันแคนเดินทางมาพบที่สหรัฐฯถูกกักกันโรคพร้อมกับครอบครัวของเธอด้วยเช่นกันภายในอพาทเมนต์ของเธอเอง
โดยเธอให้สัมภาษณ์กับเดลีเมลทางโทรศัพท์ว่า เธอติดต่อกับดันแคนทางโทรศัพท์และรู้สึกทุกข์ทรมานที่ไม่ได้พบหน้าเขา สื่ออังกฤษรายงานถึงความสัมพันธ์ของดันแคนและทรอห์เป็นครั้งแรกในวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งเปิดเผยว่าทรอห์เป็นคู่หมั้นของดันแคน เธอและเขามีบุตรด้วยกันอย่างน้อย 1 คน แต่ไม่ทราบว่าคนทั้งคู่เริ่มต้นความสัมพันธ์ตั้งแต่เมื่อใด ทรอห์ย้ายจากไลบีเรียมายังสหรัฐฯในช่วงยุค 90 ในขณะที่ดันแคนได้ลาจากออกจากงานก่อนหน้าบินเข้าสหรัฐฯ สื่ออังกฤษคาดว่า อาจเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวไลบีเรียผู้นี้ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ครอบครัวดันแคน รวมไปถึงทรอห์และครอบครัวของเธออยู่ในกลุ่ม 50 คนที่ทางสหรัฐฯเฝ้าจับตา ซึ่งล่าสุดในวันอาทิตย์(5) รัฐเทกซัสรายงานว่า สามารถตามตัวชายเร่ร่อนคนหนึ่งที่เคยมีประวัติต่อต่อกับดันแคน และไม่พบว่าเขามีอาการป่วยแต่อย่างใด โดยชายผู้นี้ถูกนำตัวไปเพื่อสังเกตุการณ์ในที่แห่งหนึ่่ง
ในขณะเดียวกันเมื่อวานนี้(5)เจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐฯปฎิเสธว่า สหรัฐฯยังไม่มีแผนประกาศห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดของอีโบลาเดินทางเข้าสหรัฐฯถึงแม้จะมีความกดดันจากประชาชนบางส่วนในประเทศก็ตาม แต่มีความน่าจะเป็นว่าสหรัฐฯจะเพิ่มความเข้มข้นในการสกรีนนักท่องเที่ยวในสนามบินหลักทั่วประเทศให้สูงขึ้นเพื่อเป็นมาตรการเฝ้าระวัง โดยทาง CDC มีกำหนดต้องเข้ารายงานสรุปสถานการณ์อีโบลาในสหรัฐฯให้กับประธานาธิบดี บารัค โอบามในวันนี้(6)
และก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(3) เพนตากอนประกาศนโยบายจะจัดส่งทหารเพิ่มอีกเกือบ 4,000 นายไปยังไลบีเรียเพื่อช่วยรัฐบาลไลบีเรียสู้โรคอีโบลาจากก่อนหน้านี้ที่มีการจัดส่งทหารสหรัฐฯไปร่วม 200 นาย โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯให้สัมภาษณ์ว่า “คาดว่าจะมีการส่งทหารจำนวน 3,600 นายไปยังแอฟริกาตะวันตก” โดยมีรายงานว่าทหารที่จะส่งไปนั้นมาจากรัฐเทกซัส รัฐโคโลราโด และรัฐเคนตักกี
ซึ่งโฆษกเพนตากอนเผยว่า ทหารทุกนายที่จะเดินทางไปจะได้รับการฝึกฝนให้รู้จักป้องกันตัวเองจากโรคอีโบลา โดยแต่ละนายจะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันภัยชีวภาพ และนอกจากนี้จะไม่มีภารกิจที่จะต้องให้ทหารสหรัฐฯติดต่อสัมผัสกับคนไข้อีโบลา
นอกจากนี้ วันอาทิตย์(5)โรงพยาบาลในรัฐแมสซาชูเซตส์เปิดแถลงว่า หลังจากที่ซาครา อดีตผู้ป่วยอีโบลาถูกส่งตัวกลับเข้ามาที่โรงพยาบาลเนื่องด้วยล้มป่วยด้วยโรคนิวโมเนีย ล่าสุดผลการตรวจเลือดชี้ว่า เขาไม่มีเชื้ออีโบลาแต่อย่างใด
ซาครารุดเข้าไปยังโรงพยาบาลในวันเสาร์(4)ด้วยอาการไข้สูงและไอ ซึ่งถึงแม้ทางโรงพยาบาลเชื่อว่า เขาไม่มีเชื้ออีโบลาแล้ว แต่ซาคราถูกส่งตัวเข้าห้องกักกันโรคพิเศษจนกระทั่งถึงวันอาทิตย์(5) ในระหว่างรอผลการตรวจเลือด และเมื่อผลการตรวจเลือดออกมาเป็นลบ ซาคราถูกนำตัวไปยังห้องผู้ป่วยปกติ